ในทุก ๆ ปี ตลาดหุ้นสามารถทำให้นักลงทุนเป็นได้ทั้งผู้ชนะและแพ้ โดยมีเพียงส่วนน้อยที่อยู่ในฝั่งของผู้ชนะ และเป็นที่น่าเสียใจว่านักลงทุนรายย่อยมักไม่ค่อยทำกำไรจากตลาดหุ้นได้มากนัก
เพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้นได้ดี คู่มือนี้จะเน้นการนำเสนอโบรกเกอร์ออนไลน์ที่คุณควรซื้อหุ้นด้วย, วิธีการวิเคราะห์หุ้นและมุมมองต่าง ๆ ที่คุณคำนึงถึงเมื่อต้องดำเนินการเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมว่า คำแนะนำในคู่มือนี้ไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดในการลงทุนหุ้นใดหุ้นหนึ่งโดยเฉพาะ หากคุณยอมรับได้ ไปค้นพบแหล่งที่จะหาหุ้นมาใส่ในพอร์ตโฟลิโอของคุณกัน
2 โบรกเกอร์ยอดนิยมที่คุณควรซื้อหุ้นด้วย
โบรกเกอร์ออนไลน์ช่วยให้เทรดเดอร์และนักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดหุ้นผ่านการลงทุนของโบรกเกอร์หรือเทรดดิ้งแพลตฟอร์มได้ ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจึงทำให้แต่ละโบรกเกอร์พยายามทำให้ตัวเองแตกต่างด้วยข้อเสนอที่ไม่เหมือนใคร โดยข้อเสนอบางอย่างก็เป็นผลประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์หุ้นได้อย่างมาก
ส่วนนี้คือการเลือกโบรกเกอร์ยอดนิยมสำหรับการเทรดหุ้น คลิกที่ชื่อโบรกเกอร์เพื่ออ่านรีวิวฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับบริการและคุณสมบัติของโบรกเกอร์
5 หุ้นที่ดีที่สุดสำหรับการกระจายความเสี่ยง (Diversify)ในพอร์ตโฟลิโอของคุณ
จากการที่มีบริษัทให้บริการมากมาย บางครั้งในการเลือกบริษัทใดบริษัทหนึ่งอาจทำได้ยากและอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ เราต้องการทำให้ง่ายขึ้นสำหรับคุณด้วยการลดตัวเลือกของคุณเป็น 5 หุ้นที่น่าสนใจที่สุดตามความคิดเห็นของเรา
โปรดทราบว่าต่อไปนี้ไม่ใช่คำแนะนำสำหรับการลงทุน แต่เป็นจุดเริ่มต้นง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถค้นหาหุ้นที่ช่วยทำกำไรได้
Walt Disney Co. (NYSE: DIS)
สิ้นปี | 2020 | 2019 | 2018 | 2017 |
---|---|---|---|---|
รายรับรวม (Total revenue) | 65.13 | 69.42 | 59.47 | 59.94 |
รายได้รวม (Gross income) | 15.95 | 23.26 | 23.77 | 21.99 |
กำไรสุทธิ (Net income) | -2.83 | 10.43 | 12.6 | 8.98 |
ตัวเลขด้านบนมีหน่วยเป็นพันล้านเหรียญสหรัฐ
การจ่ายเงินปันผล: มี
กำไรต่อหุ้นใน USD | |
---|---|
2020 | -1.58 |
2019 | 6.68 |
2018 | 8.4 |
2017 | 5.73 |
Walt Disney เป็นหุ้นบูลชิพ พื้นฐานดีมูลค่าสูง (blue-chip stock) ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ไม่แปลกใจเลยที่นักลงทุนรายใหญ่อย่าง BlackRock Inc. มักซื้อหุ้นตัวนี้สำหรับการลงทุนระยะยาวและยังได้กลายเป็นเสาหลักของกองทุน ETF เช่น หุ้นที่ให้บริการโดย Vanguard Group
Disney เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในปี 2020 ด้วยการบริการส่วนใหญ่ที่ถูกระงับโดยมาตรการด้านสุขภาพเพื่อหยุดการแพร่กระจายของโควิด-19 โรงภาพยนตร์และสวนสนุกปิดทำการทั้งหมด, การผลิตภาพยนตร์และการถ่ายทอดกีฬาสดถูกระงับด้วยเช่นกัน ในพฤศจิกายน 2020 หุ้นตกเกือบ 20% จากราคาเมื่อเทียบกับต้นปี แต่ในที่สุดหุ้นก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง
ตั้งแต่พฤศจิกายน 2020 ราคาหุ้นของ Disney ได้ขึ้นสูงมาอย่าน่าสนใจที่ 50% สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของ Disney+ เป็นบริการสตรีมมิ่งของ Disney โดย Disney+ เปิดตัวค่อนข้างเร็วในเดือนพฤศจิกายน 2019 และในตอนนี้มีสมาชิกที่จ่ายเงินมากกว่า 100 ล้านคน
เดิมทีทางกลุ่มวางแผนไว้ว่าจะมีสมาชิกประมาณ 60 ถึง 90 ล้านคนภายในปี 2024 หากแต่เป้าหมายนั้นได้บรรลุแล้วและเกินความคาดหวังไว้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ Disney คาดหวังว่าจะมีสมาชิกสมัคร Disney+ ที่จ่ายเงินระหว่าง 230 ถึง 260 ล้านคน และมีสมาชิก 350 ล้านคนที่สมัครรวมบริการ Hulu และ ESPN+ เมื่อเปรียบเทียบกับ Netflix ที่มีผู้สมัครสมาชิก 193 ล้านคน Disney ได้กลายเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนที่จะเพิ่มการผลิตภาพยนตร์เรื่องใหม่ในแต่ละปีจำนวน 100 เรื่อง ซึ่งจะเป็นตัวช่วยอย่างมากในการเปิดโรงภาพยนตร์กลับมาอีกครั้ง การเปิดตัวสวนสนุกและรีสอร์ทครั้งใหม่ระหว่างปีก็ยังช่วยเร่งการเติบโตธุรกิจของ Disney ได้อีกเช่นกัน
Target Corp. (NYSE: TGT)
สิ้นปี | 2020 | 2019 | 2018 | 2017 |
---|---|---|---|---|
รายรับรวม (Total revenue) | 92.4 | 77.1 | 75.36 | 72.71 |
รายได้รวม (Gross income) | 25.38 | 20.89 | 19.83 | 19.36 |
กำไรสุทธิ (Net income) | 4.37 | 3.27 | 2.93 | 2.91 |
ตัวเลขด้านบนมีหน่วยเป็นพันล้านเหรียญสหรัฐ
การจ่ายเงินปันผล: มี
กำไรต่อหุ้นใน USD | |
---|---|
2020 | 8.73 |
2019 | 6.42 |
2018 | 5.56 |
2017 | 5.33 |
ไม่เหมือนกับ Disney ตรงผู้ค้ารายย่อยส่วนใหญ่ยังมีปีที่ดีใน 2020 เพราะว่าผู้บริโภคยังต้องการซื้อของใช้จำเป็นขั้นพื้นฐาน อย่างที่กล่าวว่าไม่มีผู้เล่นอื่นใด แม้แต่ Amazon ที่มีมาร์จิ้นจากผลกำไรมากกว่า Target เนื่องจากรายงานส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความสำเร็จของ Target สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย หากแต่ส่วนใหญ่แล้วมาจากวิธีการแบบ Omnichannel สำหรับการขายปลีก ไม่เหมือนกับ Amazon ที่ให้บริการเฉพาะออนไลน์เท่านั้น หากแต่ Target ได้รวมทั้งการซื้อในร้านค้าควบคู่ไปกับการขายออนไลน์และการรับสินค้าหน้าร้าน (in-store pickups) ยิ่งไปกว่านั้น Target มีร้านค้ามากมายในสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว ทั้งในเขตเมืองและชนบท ทำให้สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น
ในขณะที่มีผู้ค้าปลีกรายย่อยหลายรายที่พยายามดิ้นรนเพื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ Target ยังสามารถขยายการเข้าถึงเพิ่มเติมได้ ในความเป็นจริง บริษัทมีแผนที่จะปรับปรุงบริการรับสินค้าหน้าร้าน (in-store pickups) โดยการนำเสนอฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น วิธีการชำระเงินอัตโนมัติแบบใหม่ และการซื้อสินค้าแบบ drive-thru ด้วยการผลักดันเชิงรุกดังกล่าวจะสามารถเพิ่มผลกำไรของ Target ได้อีกในอนาคต
การขายออนไลน์ยังทำกำไรให้กับ Target ได้มาก นับตั้งแต่เข้าซื้อกิจการ Shipt ในปี 2017 จำนวน 550 ล้านเหรียญสหรัฐ บริการดังกล่าวช่วยให้ Target สามารถให้บริการจัดส่งภายในวันเดียว (same-day delivery) ผ่านการเป็นพันธมิตรกับร้านค้าในพื้นที่ ซึ่งช่วยให้การจัดส่งทำได้รวดเร็วและทำกำไรได้มากขึ้น แบรนด์ของ Target เช่น Dermstore ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอีกด้วย
Adobe (NASDAQ: ADBE)
สิ้นปี | 2020 | 2019 | 2018 | 2017 |
---|---|---|---|---|
รายรับรวม (Total revenue) | 12.87 | 11.13 | 8.98 | 7.27 |
รายได้รวม (Gross income) | 10.98 | 9.28 | 7.7 | 6.18 |
กำไรสุทธิ (Net income) | 5.26 | 2.95 | 2.59 | 1.69 |
ตัวเลขด้านบนมีหน่วยเป็นพันล้านเหรียญสหรัฐ
การจ่ายเงินปันผล: ไม่มี
กำไรต่อหุ้นใน USD | |
---|---|
2020 | 10.94 |
2019 | 6.07 |
2018 | 5.28 |
2017 | 3.43 |
Adobe ยังประสบความสำเร็จในปี 2020 เนื่องจากแนวทางของตลาดที่ผู้คนอยู่บ้านช่วยส่งเสริมการสื่อสารโทรคมนาคม เมื่อเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทต่าง ๆ หันมาใช้บริการอย่าง Zoom หรือ Adobe Connect สำหรับการทำงานและการสื่อสารนอกที่ทำงาน (remote work)
ต้องขอบคุณสำหรับเหตุการณ์นี้ เพราะ Adobe ไม่ได้ประสบกับภาวะถดถอยเหมือนบริษัทอื่น ๆ อีกมากมาย ในทางกลับกัน เนื่องจากบริษัทจำนวนมากขึ้นหันมาใช้การสื่อสารโทรคมนาคม จึงมีแรงผลักดันให้นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ให้บริการโดย Adobe มาปรับใช้
ปัจจุบัน Adobe กำลังทำงานเกี่ยวกับโซลูชันระบบคลาวด์ เช่น Adobe Experience Cloud สำหรับธุรกิจ ในความเป็นจริง ทางกลุ่มได้ร่วมมือกับ Microsoft ในโครงการริเริ่มนี้ซึ่งใช้ AI ในการรวบรวมข้อมูลผู้ใช้และใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อดำเนินการแคมเปญการตลาดออนไลน์
นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดหุ้นจึงไต่ขึ้นไปสูงประมาณ 50% ในปี 2020 และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสูงถึง 170% การคาดการณ์ของกลุ่มสำหรับปี 2021 นั้นสูงกว่าความคาดหวังของนักวิเคราะห์ตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของบริษัทในด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ
Newmont Corporation (NYSE-NEM)
สิ้นปี | 2020 | 2019 | 2018 | 2017 |
---|---|---|---|---|
รายรับรวม (Total revenue) | 11.42 | 9.73 | 7.26 | 7.36 |
รายได้รวม (Gross income) | 3.55 | 2.02 | 1.59 | 1.63 |
กำไรสุทธิ (Net income) | 2.67 | 2.88 | 0.280 | -0.076 |
ตัวเลขด้านบนมีหน่วยเป็นพันล้านเหรียญสหรัฐ
การจ่ายเงินปันผล: มี
กำไรต่อหุ้นใน USD | |
---|---|
2020 | 3.52 |
2019 | 3.82 |
2018 | 0.64 |
2017 | -0.21 |
นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่าปี 2021 อาจเป็นปีที่นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ดังนั้น ทองคำเป็นเครื่องมือที่นิยมในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ และเป็นหนึ่งทางเลือกของการลงทุนในโลหะมีค่า ได้แก่ การซื้อหุ้นในบริษัทขุดทองชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก
เนื่องจากความกลัวว่าเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาจะพุ่งสูงขึ้น ความต้องการทองคำจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Newmont มีการปรับตัวสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นนาย Tom Palmer ตำแหน่ง CEO ของบริษัทได้วางแผนที่จะผลิตทองคำ 6 ล้านออนซ์ต่อปีหรือมากกว่า ที่วางแผนเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ
หุ้นของบริษัทไต่ขึ้นไปสูงถึง 24% ในปี 2020 หุ้นของ Newmont นั้นเป็นหุ้นที่น่าดึงดูดใจด้วยกำไรต่อหุ้นโดยประมาณที่ 4.15 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 นอกจากนี้ Newmont ยังมีอัตราเงินปันผลตอบแทน 2.7% หลังจากออกเงินปันผล 1.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นในปี 2020 เงินปันผลทำให้หุ้นน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
Qorvo (NASDAQ: QRVO)
สิ้นปี | 2020 | 2019 | 2018 | 2017 |
---|---|---|---|---|
รายรับรวม (Total revenue) | 4.02 | 3.24 | 3.09 | 2.97 |
รายได้รวม (Gross income) | 1.88 | 1.36 | 1.22 | 1.15 |
กำไรสุทธิ (Net income) | 0.733 | 0.334 | 0.133 | -0.040 |
ตัวเลขด้านบนมีหน่วยเป็นพันล้านเหรียญสหรัฐ
การจ่ายเงินปันผล: ไม่มี
กำไรต่อหุ้นใน USD | |
---|---|
2020 | 6.43 |
2019 | 2.86 |
2018 | 1.07 |
2017 | -0.32 |
ตั้งแต่ Apple เปิดตัวสมาร์ทโฟนที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G ราคาหุ้นของซัพพลายเออร์ (suppliers) ก็เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Qorvo ที่เป็นผู้จัดหาสารกึ่งตัวนำ (semiconductors) ที่ขับเคลื่อนเครือข่าย 5G, WiFi, IoT (Internet of Things) และส่วนประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นที่รู้กันว่าโครงสร้างพื้นฐาน 5G จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และ Qorvo ก็อยู่ในตำแหน่งเหมาะสมที่จะใช้ผลประโยชน์จากแนวโน้มนี้
นอกจากนี้ พอร์ตโฟลิโอของ Qorvo ยังมีความหลากหลาย เพราะบริษัทไม่ได้พึ่งพาผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเพียงรายเดียวเท่านั้น ด้วยแนวโน้มการเติบโตของ 5G อย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่กำลังมาถึง รายได้ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันใน wearable space ทำให้มั่นใจได้ว่าบริการ Qorvo จะยังคงอยู่ในความต้องการของผู้บริโภค
นักลงทุนทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้และหุ้นของบริษัทก็แข็งค่าขึ้นประมาณ 15% ในปี 2020 เช่นเดียวกับ Adobe บริษัท Qorvo ก็ทำรายได้เกินที่คาดการณ์ไว้อย่างต่อเนื่องในช่วงสามปีที่ผ่านมาเช่นกัน
แนวทางใดควรใช้สำหรับการเลือกหุ้น?
ตลาดหุ้นสามารถวิเคราะห์ได้ 3 วิธี: พื้นฐาน ทางเทคนิค และเชิงปริมาณ
การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental analysis)
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานเกี่ยวข้องกับการกำหนดมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท อาจลองใช้บริษัท Google เป็นตัวอย่างนี้ การวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัท Google ทำให้เราพิจารณาถึงการบริการของบริษัทและความต้องการบริการเหล่านั้น, การเปรียบเทียบกับคู่แข่งจะเป็นอย่างไร และความท้าทายอื่น ๆ ที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่ เช่น คดีต่อต้านการผูกขาดที่กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา (DOJ) กำลังดำเนินการอยู่
การทราบในแง่มุมของธุรกิจเหล่านี้จะช่วยให้คุณกำหนดมูลค่าของการลงทุนในบริษัทได้ในระยะยาว ด้วยการทำดังกล่าวนี้ยังสามารถนำคุณเข้าถึงหุ้นตัวที่ดีขึ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ นักลงทุนที่มีประสบการณ์จะประเมินมูลค่าของธุรกิจโดยใช้การวิเคราะห์พื้นฐานนี้ตัดสินใจเลือกลงทุนอย่างชาญฉลาด
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
การวิเคราะห์ทางเทคนิคนี้มีการที่ถกเถียงกันมากว่าเนื่องจากเป็นการวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงกับการศึกษาของรูปแบบแผนภูมิและตัวชี้วัดทางเทคนิคที่จะชี้วันแนวโน้มในอนาคต ผู้เสนอประสิทธิภาพตลาดยืนยันว่าตลาดการเงินจะไม่เดินตามรูปแบบแผนภูมิใด ๆ
ในทางกลับกัน วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคทำงานเหมือนกับการทำนายตัวเอง (self-fulfilling prophecy) ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ว่ามีนักลงทุนจำนวนมากใช้เครื่องมือนี้ สิ่งนี้จึงกลายเป็นหลักฐานเมื่อราคาของสินทรัพย์เข้าใกล้ระดับแนวรับ (support) หรือแนวต้าน (resistance) ที่สำคัญ
เราเชื่อว่าการใช้ทุกเครื่องมือที่มีอยู่จะทำให้คุณได้เปรียบ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากขึ้น ดังที่กล่าวไปว่า คุณไม่ควรพึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคใดเพียงเทคนิคหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้น
การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis)
การวิเคราะห์ที่เป็นกระบวนการของการรวบรวมและประเมินข้อมูลที่สามารถวัดผลและตรวจสอบได้ เช่น รายได้, ส่วนแบ่งการตลาด (market share) และเงินเดือน เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและผลการดำเนินงานของธุรกิจ ด้วยยุคแห่งเทคโนโลยีข้อมูล, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ, การวิเคราะห์เชิงปริมาณถือเป็นแนวทางที่ดีกว่าเพื่อการตัดสินใจอย่างถูกต้อง
ประเภทของหุ้นที่ควรพิจารณาเมื่อต้องการลงทุน
หุ้นสามัญ (Common shares)
หุ้นของบริษัทสามารถแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ (common stock) และหุ้นบุริมสิทธิ (preferred stock) ตามชื่อหุ้นนั้น ในอดีตเป็นหุ้นทั่วไปเนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของในส่วนหนึ่งส่วนใดของบริษัท
ข้อได้เปรียบ
- ซื้อได้ง่าย
- ขายต่อ (resell) ง่าย
- ให้บริการโดยโบรกเกอร์ออนไลน์
ข้อเสียเปรียบ
- เงินปันผลที่แตกต่างกัน
- ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง
หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred shares)
ในทางกลับกันของหุ้นบุริมสิทธิ (Preferred shares) เป็นเหมือนพันธบัตรมากกว่า นักลงทุนที่เป็นเจ้าของหุ้นนี้สามารถรับเงินปันผลตามที่กำหนด โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลการดำเนินงานของบริษัท
ข้อได้เปรียบ
- เงินปันผลสม่ำเสมอ
- สามารถใช้สิทธิออกเสียงได้
- มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการชำระหนี้คืน (repayment) ในกรณีที่ล้มละลาย
ข้อเสียเปรียบ
- ไม่ได้มีไว้สำหรับพอร์ตการลงทุนขนาดเล็ก
หลายบริษัทออกแต่หุ้นสามัญ (common stock) ให้กับประชาชนทั่วไปเท่านั้น และหุ้นประเภทนี้คือหุ้นที่คุณมักจะลงทุนผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์
หุ้นเติบโต (Growth stocks)
หุ้นเติบโตเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากแต่เป็นเพียงช่วงเวลาที่จำกัดเท่านั้น ตัวอย่างเช่นในปี 2020 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับความสนใจอย่างมากเนื่องจากมาตรการโควิด-19
ข้อได้เปรียบ
- ศักยภาพในการทำกำไรสูง
- เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้น (short-term trading)
ข้อเสียเปรียบ
- มักจะผันผวน
หุ้นเติบโต (Growth stocks) สามารถให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนมหาศาลในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งตามอุปสงค์ (demand) ในการบริการของบริษัท อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงจากศักยภาพของอุปสงค์และการแข่งขันที่ลดลง
วิกฤตฟองสบู่ดอทคอม (dot-com bubble) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อความต้องการหุ้นเติบโตเกินมูลค่าที่แท้จริง เวลาคือทุกอย่างเมื่อคุณลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth stocks) การทำให้สินทรัพย์เหล่านี้เหมาะสำหรับนักเก็งกำไรและเทรดเดอร์รายวัน (day traders)
หุ้น IPO สามารถเป็นหุ้นเติบโต (Growth stocks) ได้ เนื่องจากความต้องการของนักลงทุนเริ่มแรก (initial investor) สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันแรกของการเทรด พิจารณาจาก Airbnb ที่เผยแพร่สู่สาธารณะบน Nasdaq ในช่วงปลายปี 2020 และเห็นได้ว่าราคาหุ้นพุ่งขึ้นมากกว่า 30% ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 นักลงทุนช่วงแรก ๆ สามารถทำกำไรได้ หากแต่หุ้นปรับตัวลดลงในเวลาต่อมาและซื้อขายกันที่ราคา IPO
หุ้นคุณค่า (Value Stocks)
ในทางกลับกัน หุ้นคุณค่า (Value Stocks) มีแนวโน้มที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้นและเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ผลตอบแทนรายเดือนหรือรายปีอาจไม่น่าสนใจเท่ากับหุ้นเติบโต (Growth stocks) แต่การเติบโตอย่างต่อเนื่องทำให้เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวได้
ข้อได้เปรียบ
- มั่นคง
- การลงทุนระยะยาว
- ราคาที่จับต้องได้
ข้อเสียเปรียบ
- ใช้เวลาการรอค่อนข้างนานก่อนที่จะถึงมูลค่าที่แท้จริง (intrinsic value)
- จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เชิงลึก (in-depth analysis )
โดยทั่วไปแล้ว หุ้นเหล่านี้เป็นตัวแทนของบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีประวัติความเป็นมาที่สามารถย้อนไปได้หลายสิบปีหรือหลายศตวรรษ เมื่อลงทุนในหุ้นเหล่านี้ เป้าหมายหลักของคุณควรกำหนดไว้ที่ผลตอบแทนระยะยาว (long-term returns) ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะได้รับเมื่อครบกำหนดสิ้นปี
Warren Buffett เป็นนักลงทุนที่เน้นคุณค่าแบบคลาสสิกที่มองถึงความสามารถของบริษัทในการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาอันยาวนาน บริษัทของ Warren Buffett ชื่อ Berkshire Hathaway เป็นเจ้าของหุ้นจาก Apple, Coca-Cola, Bank of America, American Express และ Kraft Heinz บริษัทเหล่านี้มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานที่คาดว่าจะอยู่ในธุรกิจมาแล้วนานหลายทศวรรษ
หุ้นบูลชิพ (Blue-Chip Stocks)
เมื่อบริษัทสร้างชื่อเสียงที่มั่นคงมาหลายทศวรรษแล้วก็จะได้รับสถานะเป็นบูลชิพ (blue-chip) นักลงทุนมีความมั่นใจในบริษัทเหล่านี้เนื่องจากความมั่นคงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว หุ้นประเภทนี้เป็นประเภทที่นักลงทุนเดิมพันด้วยผลตอบแทนที่มั่นคง
ข้อได้เปรียบ
- มูลค่าคงที่
- มีให้บริการจากโบรกเกอร์หุ้น (stock brokers) เกือบทั้งหมด
- การลงทุนระยะยาว
- หลักทรัพย์มีสภาพคล่องสูง
ข้อเสียเปรียบ
- อาจมีราคาแพง
หุ้นต่ำบาท (Penny stocks)
ไม่ใช่ทุกบริษัทจะสามารถประเมินมูลค่าในตลาดเท่ากันได้ บริษัทที่ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับจะอยู่ในหลักทรัพย์ที่เล็กกว่าเนื่องจากมูลค่าตลาดรวมของบริษัทมักจะน้อยกว่ามาก บริษัทจึงมักถูกเรียกว่าหุ้นต่ำบาท (Penny stocks) เพราะเป็นชื่อที่เคยตั้งให้กับหุ้นที่ราคาต่ำกว่า $1 (~฿32.15) และในตอนนี้หุ้นที่ซื้อขายน้อยกว่า $5 (~฿ 160.75) ก็ถือเป็นหุ้นต่ำบาท (Penny stocks) ด้วยเช่นกัน
ข้อได้เปรียบ
- ศักยภาพในการทำกำไรสูง
ข้อเสียเปรียบ
- มีความผันผวนสูง
- มีความเสี่ยงมาก
- สภาพคล่องน้อย
อย่างไรก็ตาม บริษัทขนาดเล็กเหล่านี้สามารถกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจได้ ตัวอย่างกรณี Monster Beverage ซึ่งเคยเทรดได้ที่ $0.06 (~฿1.93) ในช่วงต้นปี 2000 และตอนนี้เทรดกันที่ราคา $90 (~฿2893.50) หากแต่เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าหุ้นต่ำบาท (Penny stocks) ไม่สามารถทำกำไรในระยะยาวได้ การเทรดหุ้นต่ำบาท (Penny stocks) อาจเป็นความเสี่ยงแม้แต่นักเก็งกำไรก็ตาม
หุ้นปันผล (Dividend Stocks)
บางบริษัทจ่ายเงินปันผล บางบริษัทไม่จ่าย dividend aristocrats คือบริษัท S&P 500 ที่มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีติดต่อกันถึง 25 ปี บริษัทที่โดดเด่นที่สุดคือ Exxon Mobil, Procter & Gamble, และ AT&T แต่ก็ยังมีบริษัทที่เล็กกว่า เช่น Sysco, Clorox และ Genuine Parts
ข้อได้เปรียบ
- รายได้ประจำ, passive income
- มูลค่าค่อนข้างคงที่
- ลดความเสี่ยง
ข้อเสียเปรียบ
- เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยคล่องตัวมากนัก
- การเติบโตแบบผสมผสานของบริษัท
โดยทั่วไปเงินปันผลจะออกมาเพื่อสนับสนุนการเป็นเจ้าของหุ้น เป็นหุ้นโดยทั่วไปสำหรับหุ้นคุณค่า (value stocks) สำหรับหุ้นเติบโต (Growth stocks) โดยเฉพาะภาคส่วนเทคโนโลยีจะไม่ค่อยจ่ายปันผลเพราะนักลงทุนสนใจราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นแม้ว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
ในฐานะนักลงทุน เงินปันผลถือว่าเป็นแหล่งรายได้ประเภท passive income ที่ดี หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว เงินปันผลที่คุณได้รับสามารถนำไปลงทุนใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทนของคุณได้ หากแต่สำหรับนักลงทุนระยะสั้น เงินปันผลจะไม่มีประโยชน์มากนัก
สามารถใช้ประโยชน์จากสถารการณ์โควิด-19 (Covid-19) ได้อย่างไร?
ในมุมมองของนักลงทุนส่วนใหญ่มักมองว่าเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนเป็นหนึ่งในสัญญาณที่จะเผาความรู้สึกท่ามกลางทะเลทรายและรอพายุทรายที่กำลังจะก่อร่างสร้างตัว การกล่าวดังนี้ก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผลพอสมควร เพราะว่าไม่มีใครต้องการที่จะสูญเสียเงิน อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีใครเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ด้วยการหลีกเลี่ยงวิกฤตความวุ่นวายเช่นกัน แม้ว่าตลาดหุ้นจะมีความปั่นป่วนจากวิกฤตโควิด-19 มากที่สุดในช่วงทศวรรษนี้ หากแต่ก็ไม่สามารถหยุดรั้งนักลงทุนที่มีความสามารถในการทำเงินได้อย่างมหาศาลเช่นกัน
นาย Bill Ackman เป็นผู้จัดการทางการเงินสัญชาติอเมริกันได้ทำการเทรดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างเช่นใน The Big Shor ที่นาย Ackerman เดิมพันว่าตลาดหุ้นจะตกและทำกำไรได้ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อตลาดหุ้นตกในเดือนมีนาคม 2020
ในตอนนี้คุณอาจพลาดโอกาสบางอย่าง หากแต่มีโอกาสอีกมากมายในปี 2021 และปีต่อ ๆ ไป และจะเริ่มต้นด้วยการกำหนดโอกาสได้
ภาคการเติบโตตั้งแต่ปี 2021
นักลงทุนส่วนมากเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอันเกิดจากการระบาดใหญ่ได้จบลง และถึงเวลาที่ต้องเตรียมตัวสำหรับการฟื้นตัวครั้งใหม่ ด้วยแคมเปญการฉีดวัคซีนที่มีการจัดการอย่างดี และการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวรอบโลก หลายภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบก็เริ่มฟื้นตัวเช่นกัน ต่อไปนี้คือบางภาคส่วนที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในวันนี้:
ภาคพลังงาน
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ราคาน้ำมันดิบของ WTI ต่อหนึ่งบาร์เรลลดลงต่ำกว่าศูนย์ในเดือนเมษายน 2020 ความต้องการน้ำมันและแหล่งพลังงานอื่น ๆ ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากมีการใช้มาตรการกักกันทั่วโลก และหุ้นของพลังงานก็อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้การท่องเที่ยวรอบโลกกำลังตื่นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างหุ้น เช่น Exxon Mobil, Royal Dutch Shell, BP, Total, Chevron และอื่น ๆ ได้เริ่มเติบโตแล้ว
เมื่อลงทุนในหุ้นพลังงาน หากแต่ต้องตระหนักถึงการตัดสินใจของ OPEC ที่กำลังจะเกิดขึ้น้วยด เนื่องจากมีข่าวลือเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังการผลิตซึ่งสามารถลดผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับในภาคพลังงาน
ภาคสุขภาพ
ภาคส่วนนี้ดูเหมือนจะมีความชัดเจนในตัว บริษัทยาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาวัคซีนจะได้รับส่วนแบ่ง 1 แสนล้านดอลลาร์จากการขายวัคซีนและสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทยาอย่างเห็นได้ชัด หากแต่สิ่งนี้ไม่ใช่ปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณา
ภาคส่วนสุขภาพอื่น ๆ เช่น เครื่องสำอางและการผ่าตัดทางเลือก (elective surgery), ก็น่านำมาพิจารณาเช่นกัน บริการสุขภาพเหล่านี้ถูกมองข้ามในปี 2020 และดูเหมือนว่าจะกลับมาอีกครั้งในปี 2021 ด้วยการทำกำไรให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้อง เหนือสิ่งอื่นใด นาย Bernard Arnaut ก็ได้กลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในฝรั่งเศสด้วยบริษัท LVMH
ภาคเทคโนโลยี
ฉันทามติในปัจจุบันกล่าวว่าหุ้นเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงเกินไป หากมีกรณีดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจริง คุณอาจต้องหลีกเลี่ยงภาคส่วนของเทคโนโลยี แต่คุณอาจผิดหากคิดเช่นนี้ ในขณะที่หุ้นเทคโนโลยีส่วนมากเกิดการซื้อมากเกินไป (overbought) ความต้องการของซอฟท์แวร์และเทคโนโลยีก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไปเช่นกัน
การโฟกัสที่ถูกต้องอาจไม่ใช่การเล็งไปที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นสูง (high-tech companies) หากแต่ควรมุ่งเน้นไปที่สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น การชำระเงินดิจิทัล (PayPal, Square), อี-คอมเมิร์ช (Shopify) และ บริการฟรีแลนซ์หรือ gig economy (Upwork)
จะป้องกันความเสี่ยง (hedge) ได้อย่างไรหากมีการฟื้นตัว / อยู่ในภาวะถดถอยที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้?
นักเศรษฐศาสตร์ไม่แน่ใจว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในปี 2021 หากแต่มีความเห็นตรงกันว่าอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอย่างน้อยสองปี ดังนั้นจงอย่าคาดหวังการกลับมาสู่ระดับเศรษฐกิจก่อนโควิด (pre-Covid) ในปี 2021 แต่ควรคาดหวังถึงการค่อย ๆ ฟื้นตัว
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณไปยังภาคส่วนต่าง ๆ อย่างที่เรากล่าวไปก่อนหน้านี้ หลายภาคส่วนได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และยังไม่มีความชัดเจนว่าแต่ละภาคส่วนจะฟื้นตัวอย่างไร หากแต่การกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ คุณสามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนในภาคส่วนใดหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
คุณยังควรมองหาการลงทุนทางเลือก เช่น สกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrencies) และสินทรัพย์ เช่น ทองคำ การลงทุนทั้งสองประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นที่มีความไม่แน่นอนและภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา การมีเงินทุนส่วนหนึ่งในสินทรัพย์ สามารถช่วยให้คุณได้รับผลกำไรแม้ว่าตลาดหุ้นจะประสบภาวะถดถอยก็ตาม
สรุป
ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าภาคส่วนใดมีโอกาสทำกำไรสูงสุดในยุคหลังโควิด (post-Covid) คุณได้ค้นพบหุ้นที่น่าสนใจที่สามารถพิจารณาและหาแนวทางการลงทุนในหุ้นแบบต่าง ๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง และคุณไม่ควรนำเงินร้อนที่จำเป็นต้องใช้ในเดือนต่อ ๆ ไปมาลงทุน
คำถามที่พบบ่อย
eToro เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่ดีที่สุด
ได้ โบรกเกอร์ออนไลน์ส่วนใหญ่ให้บริการการเข้าถึงตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา
ใช่ ขึ้นอยู่กับข้อบังคับภาษีของประเทศคุณ
การซื้อหุ้นโดยเทรดเดอร์รายย่อยจะกระทำผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์ เราขอเชิญให้คุณมาอ่านรีวิวโบรกเกอร์ของเรา