Cryptocurrency ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนี้ นับตั้งแต่เกิดวิกฤติฟองสบู่ในปี 2008 Cryptocurrency มากมายก็ได้รับความสนใจจากผู้คนและนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ในมุมมองของนักลงทุน พวกเขาจะเน้นไปที่การเติบโตในระยะยาวของสินทรัพย์ แต่ถ้าเป็นนักเก็งกำไร พวกเขาก็จะหาโอกาสจากการผันผวนของราคาของ Cryptocurrency แน่นอนว่าผู้คนพวกนี้เขาเข้าใจดีว่า Cryptocurrency นี้สามารถนำไปใช้งานได้จริง
แน่นอนว่าคุณก็ต้องมีเหตุผลดีๆ ที่ตัดสินใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดนี้ แต่ก่อนที่คุณจะเข้าไปอ่านบทความนี้ต่อไป เราคิดว่าคุณควรจะต้องซื้อ Cryptocurrency มาก่อนแล้วบ้าง เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะได้รู้ว่ามีช่องทางใดบ้างที่คุณสามารถซื้อ Cryptocurrency ได้และวิธีใดที่เหมาะสำหรับคุณมากที่สุด
การเทรดผ่านทาง Centralized exchange platform
ช่องทางที่ใช้ในการเทรดสกุลเงินเสมือนที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนต่างๆ แพลตฟอร์มพวกนี้ทำงานเหมือนกับตลาดหลักทรัพย์ และในทุกวันนี้บนอินเทอร์เน็ตที่เราใช้งานกันอยู่ก็มีแพลตฟอร์มเหล่านี้มาเปิดให้บริการลูกค้ากันมากมายกว่าหลายร้อยแห่ง ดังนั้นคุณควรจะศึกษาและตัดสินใจให้ดีว่าแพลตฟอร์มไหนมีความน่าเชื่อถือ
โดยปกติเวลาที่คุณต้องการจะซื้อ Cryptocurrency คุณก็คงจะเข้าไปค้นหาวิธีการซื้อใน Google และตัดสินใจเข้าไปดูในแพลตฟอร์มแรกที่ปรากฏขึ้นมาใช่ไหม การทำเช่นนั้นอาจจะทำให้คุณไม่ได้เจอกับแพลตฟอร์มที่ให้บริการที่ดีที่สุด มันก็เหมือนกับการที่คุณต้องเลือกโบรกเกอร์ออนไลน์ที่ต้องอาศัยความรอบคอบอย่างมาก ดังนั้นคุณก็ควรทำแบบนี้เช่นเดียวกันเมื่อคุณคิดจะเลือกแพลตฟอร์มสำหรับการเทรด Cryptocurrency ในตลาดนี้มีปัจจัยมากมายที่คุณจำเป็นจะต้องศึกษาก่อนที่คุณจะเข้ามาเล่นจริงๆ การศึกษาข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณในอนาคตแน่นอน
ปัจจัยต่างๆ ที่คุณควรจะใช้พิจารณาในการเลือกแพลตฟอร์ม
เราทุกคนต่างมีปัจจัยที่เราคำนึงถึงไม่เหมือนกัน แต่ในกรณีนี้ เราขอให้คุณคำนึงถึงองค์ประกอบดังต่อไปนี้: ความปลอดภัยในเงินทุน, Cryptocurrency ที่มีอยู่, ค่าธรรมเนียม, ช่องทางการชำระเงิน, สำนักงานใหญ่ของแพลตฟอร์มที่เราใช้งานรวมถึงฝ่ายสนับสนุนบริการลูกค้า
ความปลอดภัย
เมื่อคุณจะลงทุนใน Cryptos และลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ด้วยแล้ว สิ่งสำคัญคือการเลือกแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัยสูง ที่จริงแล้วแพลตฟอร์มเหล่านี้มักถูกโจมตีโดยเหล่าแฮ็กเกอร์ ตัวอย่างหนึ่งที่มักจะเป็นที่พูดถึงกันคือการแฮ็กที่เกิดขึ้นในปี 2014 บนแพลตฟอร์มของ Mt Gox ในญี่ปุ่น พวกเขาพบว่า Bitcoin ของพวกเขาหายไปจำนวนมากและในที่สุดพวกเขาก็ล้มละลาย
จากการตรวจสอบพบว่าแฮ็กเกอร์ได้ขโมย Bitcoin เป็นจำนวนทั้งสิ้น 850,000 เหรียญโดยที่ไม่มีใครรู้เลยแม่แต่บริษัทเองตั้งแต่ปี 2011 โดยมูลค่าของ Bitcoin ที่ถูกขโมยไปมีค่าในปัจจุบันอยู่ที่ $12,000(~฿360,000) และรวมมูลค่าทั้งหมดเกือบจะเท่ากับ 11,000 ล้านดอลลาร์(~฿330,000,000,000) นี่ถือเป็นมหันตภัยที่เคยเกิดขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งหนึ่งในตลาดของ Cryptocurrency และจนถึงปัจจุบันนี้ลูกค้าของ Mt Gox จำนวนมากยังไม่ได้รับเงินคืนเลย
เมื่อไม่นานมานี้ในเดือนธันวาคม 2017 Yobit Exchange ซึ่งดำเนินการโดย Yapian ได้ถูกให้ระงับการดำเนินกิจการและถูกฟ้องล้มละลาย แพลตฟอร์มนี้ถูกแฮ็กจนทำให้สูญเสียทรัพย์สินถึง 17% และก่อนหน้านั้นก็มีกรณีของ Bitfinex ที่ถูกแฮ็กเช่นกันจนทำให้สูญเสีย Bitcoin ไปกว่า 72 ล้านดอลลาร์(~฿2,160,000,000)
เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นแบบนี้แล้ว คุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มที่คุณต้องการใช้เพื่อลงทุนและเก็บ Cryptocurrency นี้ต้องเก็บเหรียญของลูกค้าไว้ในกระเป๋าเงินออฟไลน์หรือกระเป๋าเงินเย็น วิธีนี้สามารถช่วยป้องกันการถูกแฮ็กได้ Coinbase และ Binance เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่เราอยากจะแนะนำมาก เพราะพวกเขาจะเก็บ 98% ของ Cryptocurrency ไว้ในกระเป๋าเงินออฟไลน์
Cryptocurrency ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
CoinMarketCap รายงานว่าปัจจุบันมี Cryptocurrency มากกว่า 2,000 รายการ! แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถเทรดได้ ซึ่งหมายความว่าอาจจะมีบาง Cryptocurrency ที่คุณจะไม่พบบนแพลตฟอร์ม แม้แต่แพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่มีเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดก็มีเพียงแค่ 150 สกุลเงินดิจิทัลที่สามารถใช้ซื้อขายได้โดยคู่สกุลเงินมากกว่า 508 คู่ ซึ่งแพลตฟอร์มส่วนใหญ่แล้วจะมีจำนวน Cryptocurrency ที่ให้บริการอยู่น้อยกว่านี้มาก อย่าง Coinbase ก็มีเพียงแค่ 20 Cryptocurrency เท่านั้น ขณะที่แพลตฟอร์มอื่นๆ จะให้บริการเทรดเฉพาะ Bitcoin เท่านั้น เช่น Paymium ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของฝรั่งเศสที่คุณสามารถซื้อขายระหว่าง Bitcoin และยูโรได้เท่านั้น
คำตอบที่เราต้องการนั้นไม่ใช่ว่าบนแพลตฟอร์มนั้นมีจำนวน Cryptocurrency ให้เราเทรดมากน้อยแค่ไหน แต่ต้องดูว่าเราอยากจะเทรดบนแพลตฟอร์มไหนมากกว่า ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ Paymium อาจจะช่วยตอบคำถามให้แก่นักลงทุนบางรายได้เป็นอย่างดี
แพลตฟอร์มใหญ่ๆ จำนวนมากจะไม่มี Cryptocurrency ที่พวกเขาคิดว่ามันไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใดๆ ได้ อย่างเช่น เหรียญ UnikoinGold ที่มีบางคนใช้มันในคาสิโนออนไลน์ ดังนั้นเราจึงไม่ควรพิจารณาดูจากจำนวนของ Cryptocurrency เท่านั้น แต่คุณต้องพิจารณาถึงสิ่งที่คุณต้องการด้วย
ข่าวดีก็คือแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะให้บริการเทรด Cryptocurrency ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหรียญที่ติดท็อป 10 อันดับแรกของ CoinMarketCap แต่ถ้าคุณมีสกุลเงินดิจิทัลที่คุณอยากจะซื้อเองในใจอยู่แล้ว คุณก็จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มที่คุณต้องการใช้นั้นมีเหรียญนั้นให้บริการอยู่หรือไม่
ค่าธรรมเนียม
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าแพลตฟอร์มพวกนี้ทำเงินได้อย่างไร พวกเขาหาเงินได้จากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรม มันก็เหมือนกันกับเหล่าโบรกเกอร์ที่ช่วยคุณซื้อขายหลักทรัพย์และเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นจากคุณไง
โดยทั่วไปแพลตฟอร์มเก็บค่าธรรมเนียมตามประเภทออเดอร์ที่คุณใช้ ค่าธรรมเนียมสำหรับออเดอร์ที่รอการตัดบัญชีจะต่ำกว่าออเดอร์ในตลาด ที่เป็นเช่นนี่เพราะว่าเมื่อคุณส่งออเดอร์ซื้อที่รอการตัดบัญชี มันเหมือนกับว่าคุณไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด คุณจึงเปรียบเหมือนเป็น “ผู้ผลิต” แต่ในทางกลับกันเมื่อคุณส่งออเดอร์ไปในตลาด คุณจะมีสภาพคล่องลดลง ดังนั้นคุณจะถูกเรียกว่าเป็น “ผู้รับ” เพื่อเป็นการช่วยคุณประหยัดเงินของคุณเอง เราแนะนำให้คุณมีการจำกัดจำนวนออเดอร์ที่จะส่งออกไป ตัวอย่างเช่นเมื่อคุณต้องการซื้อ Bitcoin ซึ่งปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ $12,000 คุณส่งออเดอร์ซื้อไว้ที่ราคา $11,900 เมื่อราคาลดลง “เล็กน้อย” ออเดอร์ซื้อของคุณก็จะสำเร็จ
นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายเหล่านี้แล้วยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอนและการฝากเงินด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วมันจะขึ้นอยู่กับช่องทางที่คุณใช้งานและอาจมีข้อกำหนดขั้นต่ำที่กำหนดขึ้นบนแพลตฟอร์มด้วย
ในแง่ของต้นทุน Binance เองก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีค่าธรรมเนียมที่ไม่แพง
ช่องทางการชำระเงิน
แต่ละคนจะมีช่องทางในการชำระเงินเพื่อซื้อขายของบนออนไลน์ที่ต่างกันไป บางคนก็ชอบใช้บัตรเครดิต บางคนใช้การโอนเงินผ่านธนาคารหรือใช้ PayPal
ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ช่องทางใดในการชำระเงินก็ตาม คุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่องทางที่คุณจะเลือกใช้มีให้บริการบนแพลตฟอร์มหรือไม่ และจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงมากเกินไป โดยทั่วไปการโอนเงินผ่านธนาคารเป็นช่องทางการฝากเงินที่ถูกที่สุด แต่จะใช้เวลานานกว่าการฝากเงินผ่านบัตรเครดิต แต่มันก็จะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น คุณจะต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัย ไม่ว่าเป็นเรื่องของความเร็ว, ประสิทธิภาพ, ต้นทุนและการไม่เปิดเผยตัวตน บางคนก็ชอบช่องทางที่อนุญาตให้ฝาก Cryptocurrency ได้โดยที่ไม่เปิดเผยตัวตน
ในปัจจัยเรื่องของความเร็วนี้ อยากให้คุณลองนึกภาพดูว่าเมื่อคุณได้ข่าวว่า Facebook กำลังจะเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองขึ้นมา ข่าวประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจากตลาด Crypto และมันจะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณคงไม่อยากจะมานั่งรอเงินเข้าบัญชีเพื่อทำการเทรดนาน 2-3 วันใช่ไหม ดังนั้นมันจึงมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณานอกเหนือจากความชอบส่วนบุคคลด้วย
สำนักงานใหญ่
เรื่องที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของแพลตฟอร์มก็มีความสำคัญมากเช่นกันด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก มันเป็นเรื่องความปลอดภัยในเงินทุนของคุณ ลองดูตัวอย่างของผู้ให้บริการทางการเงินของอเมริกา: กฎหมายจะกำหนดให้ต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานทางการตลาดและต้องมีการประกันเงินให้กับลูกค้าด้วย นี่เป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับบางแพลตฟอร์มของประเทศจีนที่ไม่มีการประกันเงินให้กับลูกค้าซึ่งจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งาน นอกจากนี้บางประเทศจะไม่อนุญาตให้โบรกเกอร์ให้บริการในต่างประเทศหากไม่ได้รับการควบคุมจากหน่วยงานท้องถิ่นก่อน
ฝ่ายบริการดูแลลูกค้า
อย่างสุดท้ายคือปัจจัยเรื่องของฝ่ายบริการดูแลลูกค้า โดยทั่วไปแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะให้ความช่วยเหลือคุณได้ดีหากคุณสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้
ในแง่ของการช่วยเหลือลูกค้าบนแพลตฟอร์มเทรด Cryptocurrency นี้ยังต้องได้รับการพัฒนาอีกเยอะมาก เพราะเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์ Forex หรือ CFD แล้ว ฝ่ายดูแลลูกค้าบนแพลตฟอร์ม Crypto นี้ให้ความช่วยเหลือที่ช้ามากหรือไม่ได้ช่วยเหลือเลยในบางครั้ง
ทำไมต้องเทรดผ่าน Centralized exchange platform
มีเหตุผลหลายประการที่นักลงทุนยังคงชอบการเทรด Cryptocurrency ผ่านแพลตฟอร์มพวกนี้ โดยเฉพาะเหตุผลด้านความปลอดภัย เนื่องจากแพลตฟอร์มที่ให้บริการการเทรด Cryptocurrency ทั่วไปยังเผชิญกับภัยคุกคามจากแฮ็กเกอร์อยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่พวกเขาเป็นสถาบันการเงิน สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนได้ และในมุมมองด้านความปลอดภัย Coinbase ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีความโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ เนื่องจากมีการจดทะเบียนกับ FinCEN ในสหรัฐอเมริกา แพลตฟอร์มนี้จะช่วยทำให้คุณจะรู้สึกมั่นใจได้มากขึ้นหากคุณต้องการจะเทรด Cryptocurrency เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้มันยังช่วยให้คุณสร้างพอร์ตการลงทุนที่คุณสามารถจัดการได้เอง แพลตฟอร์มจะเลือกใช้กระเป๋าเงินประเภทต่างๆ ในการจัดเก็บรักษาเหรียญไว้ตามความเหมาะสม แพลตฟอร์มพวกนี้ถือว่ามีความโปร่งใสในการทำงานและมีสภาพคล่องมาก และไม่ว่าคุณจะเลือกเทรดบนแพลตฟอร์มไหนก็ตาม ราคาของ Cryptocurrency ที่ใช้เทรดก็มีค่าเกือบจะเท่ากันบนทุกแพลตฟอร์มอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือคุณจะต้องทราบอีกอย่างก็คือเรื่องของข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของค่าใช้จ่าย เพื่อให้แพลตฟอร์มพวกนี้ยังทำงานอยู่ได้ พวกเขาจึงต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมจากผู้ใช้งาน แต่ถ้าเป็นการซื้อแบบ Peer to peer ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน Cryptocurrency จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งโดยตรงจะทำให้เกิดค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ข้อดีอีกอย่างของแพลตฟอร์มแบบศูนย์รวมนี้คือพวกเขาจะบริการสกุลเงินดิจิทัลที่มีปริมาณการซื้อขายจำนวนมาก
การเทรดผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-peer (P2P)
ถึงแม้ว่าแพลตฟอร์ม P2P พวกนี้จะได้รับความนิยมน้อยกว่าแพลตฟอร์มแบบศูนย์รวมมาก แต่มันก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่พวกเรา P2P เป็นแพลตฟอร์มที่คนแต่ละคนจะแสดงการถือครองเหรียญเองและสามารถเสนอราคาที่พวกเขาอยากจะขายเหรียญพวกนี้เองได้ ประโยชน์ของการซื้อเหรียญด้วยวิธีนี้ที่เราจะเห็นได้ชัดเจนก็คือเรื่องของค่าธรรมเนียม ถึงแม้จะมีค่าธรรมเนียมอยู่บ้างบางส่วน แต่ก็ถือว่าน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มแบบศูนย์รวม หากคุณต้องการจะทำธุรกรรมจำนวนมาก การใช้แพลตฟอร์มแบบ P2P จะช่วยคุณได้มากในเรื่องของต้นทุนที่คุณจะต้องเสียไป
อย่างไรก็ตามแพลตฟอร์มแบบนี้จะไม่มีเครื่องมือที่ช่วยในซื้อขายที่ดีมากนัก เช่น การตั้งจุดตัดขาดทุน การส่งคำสั่งซื้อ นอกจากนี้เนื่องจากแพลตฟอร์มพวกนี้มีจำนวนผู้ใช้ไม่มาก จึงทำให้แพลตฟอร์มอาจขาดสภาพคล่อง และมันจะทำให้คุณต้องใช้เวลามากขึ้นในการจับหาคู่สัญญาในการทำธุรกรรมกับคุณ มันอาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสที่ดีๆ ไปได้
การเทรด Cryptocurrency ในฟอร์มของ CFDs
จะเป็นอย่างไรหากเรามีวิธีหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล สิ่งนี้อาจฟังเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่มันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ หากคุณเทรดผ่าน CFD (Contract For Difference)
CFD คือสัญญาระหว่างคุณและโบรกเกอร์ ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายในสินทรัพย์ต่างๆ
ยกตัวอย่างใน Bitcoin ที่ซื้อขายกันที่ราคา $12,000 คุณจะต้องจ่ายเงิน $12,000 สำหรับ 1 Bitcoin หากราคาของ Bitcoin เพิ่มไปถึง $13,000 คุณก็สามารถขายออกไปในราคา $13,000 และได้รับ $1,000 เป็นกำไรส่วนต่าง (หักค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมด้วย)
CFD สามารถสามารถทำให้คุณเทรด Bitcoin ได้โดยที่คุณไม่ต้องไปซื้อ Bitcoin เลย เพียงแค่คุณเซ็นสัญญากับโบรกเกอร์ในการ “สมมติ” ซื้อ Bitcoin ในราคาปัจจุบันและคุณสามารถเซ็นจบสัญญานี้ได้ทุกเมื่อที่ราคาตลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การซื้อประเภทนี้มีข้อดีหลายประการรวมถึงการที่คุณได้รับประโยชน์จากการใช้เลเวอเรจด้วย เนื่องจากโบรกเกอร์ไม่ได้ให้บริการการเทรด Cryptocurrency โดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยให้คุณสามารถเทรด Cryptocurrency ได้ในจำนวนที่มากขึ้นแม้ว่าคุณจะมีเงินทุนน้อยก็ตาม CFD ของ Cryptocurrency ที่ทางโบรกเกอร์ Forex ให้บริการส่วนใหญ่ที่เราแนะนำจะมีเลเวอเรจให้คุณได้ใช้งานกัน
นอกจากนี้คุณได้ประโยชน์จากกฎระเบียบข้อบังคับที่ทางโบรกเกอร์ออนไลน์ต้องทำตามแล้ว เราทุกคนรู้ดีว่าเมื่อพูดถึงกฎข้อบังคับแล้ว ตลาด Cryptocurrency ยังถือเป็นเด็กที่กำลังหัดเดินเท่านั้น อันที่จริงหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งยังไม่ได้แก้ไขปัญหานี้ ยังมีข้อบังคับของแพลตฟอร์มอีกหลายที่ยังไม่เข้มงวดมากนัก หรือบางแห่งก็ไม่มีหน่วยงานเข้ามาควบคุมเลย ดังนั้นการเทรด Cryptocurrency ผ่าน CFD จึงเป็นช่องทางที่ปลอดภัยมากที่สุดแล้ว
ในสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร หน่วยงานกำกับดูแลจะกำหนดให้มีการใช้เลเวอเรจอยู่ที่ 1:2 เท่านั้นสำหรับการเทรด Cryptocurrency ซึ่งหมายความว่าเทรดเดอร์จะได้รับมาร์จิ้นเพียง 50% เท่านั้น แต่แค่นี้มันก็ช่วยให้คุณสามารถซื้อ Cryptocurrency ด้วยมูลค่าเป็นสองเท่าจากเงินทุนของคุณ แน่นอนว่าการใช้เลเวอเรจนี้จะช่วยเพิ่มการทำกำไรให้แก่คุณ แต่ก็อย่าลืมนะว่ามันก็ก่อให้เกิดความความสูญเสียมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นเลเวอเรจจึงเป็นเครื่องมือที่คุณต้องใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างมาก
นอกเหนือจากการใช้เลเวอเรจแล้ว การเทรด Cryptocurrency ผ่าน CFD ช่วยให้คุณไม่ต้องไปเจอปัญหาเรื่องของความปลอดภัย, การเลือกพอร์ตการลงทุน, การปกป้องพอร์ตจากการโดนแฮ็ก ฯลฯ ทุกอย่างที่คุณเทรดนั้นเป็นของเสมือนจริงเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้พวกแฮ็กเกอร์มาขโมยไปได้ ตราบใดที่โบรกเกอร์อยู่ภายใต้การควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินที่มีชื่อเสียง คุณก็สามารถมั่นใจได้ว่าเงินของคุณจะอยู่ในที่ที่ปลอดภัย โบรกเกอร์ที่ให้บริการการเทรด Cryptocurrency ในรูปแบบของ CFD เช่น eToro, IQ Option หรือ AvaTrade
สรุป: ช่องทางที่ดีที่สุดในการเทรด Cryptocurrency
จากทั้งหมดข้างต้นที่ได้กล่าวมานี้ คุณคงจะสังเกตได้ว่าแต่ละช่องทางในการเทรด Cryptocurrency นั้นต่างก็มีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกช่องทางใดก็ตาม คุณจะต้องมีการระบุความต้องการและเป้าหมาย ตลอดจนความเสี่ยงที่คุณสามารถยอมรับได้