Hedge fund เป็นหนึ่งในกองทุนทางเลือก แม้จะดูขัดแย้งกับชื่อของมัน แต่ Hedge fund นั้นไม่ใช่กองทุนรวมหรือหมายถึงกลยุทธ์การลงทุนแต่อย่างใด อันที่จริงมันคือสถาบันจัดการกองทุน ซึ่งจัดตั้งโดยผู้จัดการกองทุนหรือที่ปรึกษาการลงทุน
Hedge fund จะใช้เงินทุนของลูกค้าเพื่อสร้างผลกำไรในตลาด โดยใช้กลยุทธ์ในการลงทุนและการเทรดที่หลากหลาย หรือสามารถกล่าวได้ว่านักลงทุนจะลงทุนใน Hedge fund เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนลงทุนแทนพวกเขา แล้วได้ผลตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) หรือค่าส่วนแบ่งจากผลกำไร (Performance Fee)
ประวัติการลงทุนและโครงสร้าง
Hedge fund ก่อตั้งขึ้นในช่วงปี 1950 โดยมีจุดเด่นที่มีการบริหารแบบเชิงรุกเมื่อเทียบกับกองทุนแบบดั้งเดิมต่าง ๆ
ประวัติของ Hedge Fund
อย่างที่ได้เห็นไปแล้วว่าแนวคิดของ Hedge fund นั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1949 ในขณะนั้น Alfred Winslow Jones ทำหน้าที่เป็นผู้คิดกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับกลยุทธ์ที่ใช้ในกองทุนแบบดั้งเดิม เขาจึงได้คิดค้นพอร์ตการลงทุนที่ประกอบไปด้วย ผู้ซื้อ, ผู้ขาย และเงินทุน (เลเวอเรจ) เพื่อให้สามารถสร้างผลกำไรได้มากขึ้น
ในปี 1952 Alfred เปลี่ยนโครงสร้างบริษัทของเขาให้เป็นบริษัทจำกัด แล้วเรียกเก็บเงินจากนักลงทุน
20% เป็นค่าคอมมิชชั่นในการดำเนินงาน ต่อมา Hedge fund อื่น ๆ ก็ได้ใช้โมเดลการบริหารแบบเชิงรุกเช่นกัน ในช่วงปี 1970 Hedge fund นั้นถือว่าประสบความสำเร็จ เมื่อสถาบันการลงทุนต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำผลงานได้ดีกว่ากองทุนแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตามไม่ใช่ Hedge fund ทุกกองทุนที่ประสบความสำเร็จ มีบางกองทุนต้องปิดตัวลงหลังจากที่สูญเสียเงินทุนก้อนใหญ่ไป
บริษัท Bridgewater Associates เป็นหนึ่งใน Hedge fund ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อตั้งโดย Ray Dalio ในปี 1975 และยังคงดำเนินการอยู่ โดยปัจจุบันมีการบริหารจัดการทรัพย์สินมากกว่า $160 พันล้าน (~฿5 ล้านล้าน)
ที่มาของชื่อ Hedge Fund
คำว่า “Hedge fund” มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้จัดการกองทุนบางคนมีการเปิดสถานะทั้งแบบซื้อ (Long) และ ขาย (Short) หุ้นพร้อมกัน Hedging เป็นคำศัพท์ในตลาดหุ้น หมายถึง การจำกัดความเสี่ยงด้วยการเปิดสถานะ 2 ตำแหน่ง (Position) ที่อยู่ตรงข้ามกันในปริมาณใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม Hedge fund มีการบริหารจัดการโดยกลยุทธ์ที่หลากหลาย สามารถเทรดสินทรัพย์ได้หลายประเภทไม่ใช่เพียงแค่หุ้นเท่านั้น Hedge fund กองทุนแรกก่อตั้งขึ้นในปี 1949 โดย Alfred Winslow Jones นักลงทุนชาวออสเตรเลีย
จุดประสงค์ของ Hedge Funds
จุดประสงค์ของ Hedge fund นั้นเรียบง่าย นั่นก็คือทำให้เงินทุนของลูกค้าเติบโตมากขึ้น กองทุนพยายามสร้างกำไรไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม เช่น ตลาดกระทิง (Bullish), ตลาดหมี (Bearish), ตลาดมีความผันผวน (Volatility) เป็นต้น ผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่เป็นเทรดเดอร์ ปรับกลยุทธ์ตามความผันผวนของตลาด
โครงสร้างการลงทุน
อ้างอิงจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) Hedge fund หมายถึง “กองทุนรวมเอกชนแบบไม่ลงทะเบียน โดยที่มีการใช้มาตรการป้องกันที่ซับซ้อน รวมทั้งใช้เทคนิคเก็งกำไรในตลาดกองทุน” แตกต่างจากกองทุนแบบดั้งเดิมที่จะสร้างผลกำไรสัมพันธ์กับตลาด ในขณะที่ Hedge fund ต้องการสร้างผลดำเนินการชนะตลาด โดยไม่อ้างอิงตามเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) ใด ๆ
นักลงทุนจะได้รับการเปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนต่าง ๆ โดย Hedge fund มากกว่าจากตลาด นักลงทุนหลาย ๆ คนที่หันมาลงทุนใน Hedge fund นั้นแสวงหาผลกำไรที่เหนือตลาด ดังนั้น Hedge fund จึงมีการบริหารจัดการแบบเชิงรุก ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม
สินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้
กองทุนรวมโดยทั่วไปจะจำกัดการลงทุนเฉพาะหุ้นและพันธบัตร ในขณะที่ Hedge fund สามารถเทรดสินทรัพย์ได้หลากหลาย
- หุ้น (Stocks)
- พันธบัตร (Bonds)
- กองทุนรวม (Mutual funds)
- ฟอเร็กซ์ (Forex)
- คริปโต (Cryptocurrencies)
- อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
- ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เช่น ฟิวเจอร์ส (Futures), ออปชั่น (Options), สวอป (Swaps), เป็นต้น
ความหลากหลายของสินทรัพย์นี้เองที่ทำให้ Hedge fund นั้นดึงดูดนักลงทุนมากมายที่ต้องการเพิ่มความหลากหลายในพอร์ตการลงทุน
ปัจจุบันมี Hedge fund เกือบ 15,000 กองทุนทั่วโลก และมีการบริหารสินทรัพย์มากกว่า $3 พันล้าน (~฿95 พันล้าน)
ใครสามารถลงทุนใน Hedge Funds ได้บ้าง?
Hedge fund มีการกำหนดเงินทุนขั้นต่ำในการลงทุนในกองทุน ซึ่งจะอยู่ที่ $60,000 (~฿2,000,000) โดยประมาณ ประเภทนักลงทุนที่สามารถลงทุน Hedge fund ได้มีดังนี้
- บุคคลร่ำรวย
- ธนาคาร
- สถาบันการเงิน
- กองทุนบำเหน็จบำนาญ
Hedge Fund ทำงานอย่างไร?
Hedge fund ดำเนินการบนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างนักลงทุนและผู้จัดการกองทุน
พวกเขาจะโน้มน้าวแนวทางการลงทุนที่น่าเชื่อถือแก่ผู้มุ่งหวัง เมื่อนักลงทุนได้ลงทุนเงินใน Hedge fund แล้ว พวกเขาจะถูกเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม 2 ประเภท ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) และ ค่าส่วนแบ่งจากผลกำไร (Performance Fee) ซึ่งจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป
คุณลักษณะของ Hedge Fund
- Hedge fund บางกองทุนจะรับเงินทุนจากนักลงทุนที่ผ่านการรับรองเท่านั้น
- กลยุทธ์การลงทุนอาจจะมีความซับซ้อนขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ซึ่งจะสัมพันธ์กับตลาดและตราสารอนุพันธ์
- มีการใช้เลเวอเรจ หรือการยืมทุนอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อทำให้ค่าอัลฟ่ามีค่าเป็นบวก (Positive alpha)
- Hedge fund ส่วนใหญ่มีโครงสร้างราคาแบบ “2 และ 20” หมายถึง มีการคิดค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) 2% และค่าส่วนแบ่งจากผลกำไร (Performance Fee) 20%
เลเวอเรจ
Hedge fund จะใช้เลเวอเรจในการเพิ่มผลกำไรในตลาด ซึ่งสามารถทำได้หลายทาง ดังนี้
การเทรดแบบ Margin (Margin Trading): การเทรดรูปแบบนี้คือการยืมเงินทุนเพื่อนำมาเปิดโพสิชั่นที่ใหญ่ขึ้น ซึ่ง Hedge fund สามารถยืมทุนจากธนาคารเพื่อการลงทุนได้
ตัวอย่าง Hedge fund ที่มีเงินทุน $600 (~฿19,500) สามารถยืมเงินทุนได้อีก $600 (~฿19,500) จากสถาบันการเงินเพื่อนำมาลงทุน $1,200 (~฿39,000) ต่อมาเมื่อมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น $2,400 (~฿78,000) จะได้กำไรเท่ากับ $1,200 (~฿39,000) แทนที่จะเป็น $600 (~฿19,500) ซึ่งเป็นกำไรที่ได้หากเริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียง $600 (~฿19,500)
วงเงินสินเชื่อ: Hedge fund สามารถยืมเงินทุนเพิ่มขึ้นจากธนาคารเพื่อใช้ในการเจรจา ซึ่งมีหลักการเดียวกันกับการเทรดแบบ Margin
โครงสร้างราคา
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ค่าคอมมิชชันพื้นฐานของกองทุนคือ “2 และ 20” Hedge fund จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 2% ต่อปี คิดจากสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของกองทุน ไม่ว่าตลาดจะมีการทำงานอย่างไรและอยู่ในสภาวะใดก็ตาม นอกจากค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ที่นักลงทุนต้องจ่ายแล้ว ยังมีค่าส่วนแบ่งจากผลกำไร (Performance Fee) เมื่อกองทุน Hedge fund สามารถสร้างผลกำไรจากการลงทุนได้ โดยปกติจะคิดเป็น 20% ของกำไร
ตัวอย่าง ผู้จัดการกองทุนได้ก่อตั้ง Hedge fund ขึ้นมา โดยมีนักลงทุนได้ลงเงินทุนเป็นเงิน $1.2 ล้าน (~฿38 ล้าน) ผู้จัดการกองทุนจะได้รับ 2% ของ $1.2 ล้าน (~฿38 ล้าน) หรือเท่ากับ $24,000 (~฿764,604) ไม่ว่าการดำเนินการจะเป็นอย่างไร และหากว่าเขาสามารถสร้างกำไรได้ $240,000 (~฿7.6 ล้าน) จากการบริหารจัดการ ผู้จัดการกองทุนจะได้รับเงินอีก 20% ของกำไรซึ่งคิดเป็น $48,000 (~฿1.5 ล้าน)
กลยุทธ์ต่าง ๆ ของ Hedge Fund
นับตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้ง Hedge Fund มีกลยุทธ์การลงทุนมากมายที่ได้พัฒนาขึ้นมา ทั้งกลยุทธ์ที่เรียบง่ายอย่างการซื้อและถือ ไปจนถึงกลยุทธ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและมีการใช้ตราสารอนุพันธ์ด้วย
กลยุทธ์ Macro-Economic
กลยุทธ์มหภาคนั้นค่อนข้างเรียบง่าย และมีพื้นฐานส่วนใหญ่มาจากปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์ เช่น GDP หรืออัตราดอกเบี้ย อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองอีกด้วย
ตัวอย่าง สมมติว่าประเทศสหรัฐอเมริกายกเลิกการคว่ำบาตรอิรัก เหตุการณ์นี้จะส่งผลให้ประเทศสามารถผลิตและส่งออกน้ำมันได้มากขึ้น นั่นหมายถึงการผลิตน้ำมันของทั้งโลกจะเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น Hedge Fund จึงสามารถคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มตกลงได้
- ข้อดี: ได้ประโยชน์จากการลงทุนระยะยาว
- ข้อเสีย: มีปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์มหภาคหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อการลงทุน
กลยุทธ์ Multi-Strategy
กองทุนที่มีการเก็งกำไรจะใช้กลยุทธ์การลงทุนและสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อให้ชนะตลาด กองทุนเหล่านี้จะไม่ใช่กลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเป้าหมายคือการสร้างกำไรไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม สำหรับกลยุทธ์ Hedge Fund รูปแบบนี้จะมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูง และให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยง
- ข้อดี: พอร์ตการลงทุนมีความหลากหลาย
- ข้อเสีย: ความหลากหลายที่มากเกินไปอาจจะจำกัดผลตอบแทน
กลยุทธ์ Event-Driven
สำหรับกลยุทธ์ Event-driven ผู้จัดการกองทุนจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์เศรษฐกิจจุลภาคที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหรือภาคส่วน มันก็คือการเทรดโดยดูจากข่าวสารต่างๆ นั่นเอง
ตัวอย่าง เมื่อมีคำเตือนเกี่ยวกับกำไรเกิดขึ้นมักจะตามมาด้วยหุ้นของบริษัทตกลง Hedge Fund จะใช้ประโยชน์ในเหตุการณ์นี้ขายหลักทรัพย์ ดังนั้นกลยุทธ์ Event-driven จะพยายามสร้างกำไรจากความผันผวนในระยะสั้น
- ข้อดี: ทำให้คุณสามารถจับความเคลื่อนไหวในระยะสั้นได้
- ข้อเสีย: ต้องมีการดำเนินการที่รวดเร็ว บางครั้งต้องก่อนที่ข่าวจะออกอย่างเป็นทางการ
กลยุทธ์ Long-Short Equity
กลยุทธ์นี้มีความเรียบง่ายที่สุดในตลาดหุ้น ประกอบด้วยการซื้อสินทรัพย์ในช่วงราคาต่ำ และการขายออกเมื่อมีมูลค่าสูงขึ้น Hedge Fund สามารถเป็นได้ทั้งผู้ซื้อหรือผู้ขายในตลาด ซึ่งมีข้อดีที่สามารถสร้างกำไรได้ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง
สำหรับกลยุทธ์ Long-Short Equity นั้นสามารถแบ่งได้อีก 3 ประเภท:
- Long-biased: Hedge Fund ทำการซื้อมากกว่าขาย หรือพูดในอีกแง่คือมีการเปิด Long Position มากกว่า Short Position นั่นเอง
- Dedicated short: Hedge Fund จะเน้นที่การขายมากกว่า
- Market neutral: การเปิดทั้ง Long Position และ Short Position นั้นมีปริมาณใกล้เคียงกัน
- ข้อดี: เหมาะสำหรับทุกสถานการณ์ของตลาด
- ข้อเสีย: อาจจะมีความยากในการคัดเลือกหุ้น (ตัวเลือกของหลักทรัพย์)
กลยุทธ์ Relative Value Arbitrage
Hedge Fund กลยุทธ์นี้เป็นการสร้างผลประโยชน์จากความแตกต่างของราคาสินทรัพย์สองชนิดที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เทคนิคการเก็งกำไรนี้หมายถึงการซื้อและการขายสินทรัพย์สองชนิดใดๆ พร้อมกัน โดยที่ไม่ได้ดูมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์
เทรดเดอร์จะขายสินทรัพย์ออกไปเมื่อมูลค่าสูงขึ้น และเข้าซื้อในช่วงราคาต่ำ เมื่อราคากลับสู่สภาวะปกติก็จะยกเลิกโพสิชั่นเหล่านี้ การเก็งราคาสามารถใช้ได้ทั้งกับหุ้นสองชนิด สินค้าโภคภัณฑ์สองชนิด หรือพันธบัตรสองชนิด เป็นต้น
- ข้อดี: ช่วยในการลดความเสี่ยง (จากการซื้อและขายพร้อมกัน)
- ข้อเสีย: ผลตอบแทนจำกัดค่อนข้างมาก
กลยุทธ์ Vulture Fund
กลยุทธ์ประเภทนี้จะเกี่ยวข้องกับการลงทุนในบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงสภาวะตกต่ำ จุดประสงค์คือทำกำไรเมื่อบริษัทที่ลงทุนกำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างหนี้ และเริ่มฟื้นคืนศักยภาพทางการเงิน
- ข้อดี: มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูง
- ข้อเสีย: ความเสี่ยงสูงเนื่องจากลงทุนกับบริษัทที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก
กลยุทธ์ Quantitative Trading
ปัจจุบัน Hedge Fund ที่ใช้กลยุทธ์เชิงปริมาณกำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในตลาด และ Hedge Fund ที่ใช้กลยุทธ์แบบดั้งเดิมต่างเริ่มปรับตัวใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณในการลงทุน การวิเคราะห์เชิงปริมาณนั้นรวมการพัฒนาอัลกอริทึม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเทรดแบบอัตโนมัติในตลาด
การเทรดเชิงปริมาณ (Quant trading) นั้นมีกระบวนการทำงานเป็นระบบ ปราศจากการใช้ดุลยพินิจ หุ่นยนต์เทรดจะรับผิดชอบการตัดสินใจในการลงทุนแทนผู้จัดการ ในขณะที่ผู้จัดการจะทำหน้าที่ตรวจสอบพัฒนาการของการดำเนินการต่างๆ
- ข้อดี: สามารถละเลยเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์มหภาคและจุลภาค
- ข้อเสีย: ผลตอบแทนมีจำกัด
Hedge Fund และกองทุนรวม
แนวคิดของ Hedge Fund และกองทุนรวมอาจจะสร้างความสับสนได้ ความแตกต่างหลักคือ Hedge Fund จะใช้เลเวอเรจและตราสารอนุพันธ์ในการลงทุน ในขณะที่กองทุนรวมจะจำกัดกลยุทธ์การลงทุนเน้นที่รูปแบบดั้งเดิมมากกว่า
Hedge Fund และกองทุนรวมแตกต่างกันอย่างไร?
กองทุนรวม
กองทุนรวมนั้นคล้ายกับบริษัทต่างๆ มีการรวบรวมหลักทรัพย์ทางการเงินที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง เมื่อนักลงทุนทำการลงทุนในกองทุนรวม พวกเขาจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของกองทุนนั้น ดังนั้นคุณจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนด้วย
สิ่งที่กองทุนรวมแตกต่างจาก Hedge Fund คือ กองทุนรวมจะจำกัดเฉพาะกลยุทธ์การลงทุนแบบดั้งเดิม และใช้กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เน้นลงทุนในหุ้นและพันธบัตร ไม่มีการขายระยะสั้น, เทรดที่ความถี่สูง, เทรดฟอเร็กซ์หรือใช้ตราสารอนุพันธ์
นี่คือประเภทต่างๆ ของกองทุนรวม ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน
- กองทุนดัชนี (Index funds)
- กองทุนรวมจัดหางาน (Worker placement funds)
- กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed income)
- กองทุนรวมผสม (Balanced funds)
- กองทุนรวมลงทุนในบริษัทที่ดีเหนือค่าเฉลี่ย (Growth fund) / กองทุนรวมตราสารทุน (Equity fund)
- กองทุนรวมตลาดเงิน (Money market fund)
- หุ้นนอกตลาด (Private equity)
Hedge Fund
Hedge Fund นั้นก็คือการรวมทุนของนักลงทุนเช่นกัน แต่ไม่ใช่สำหรับขายในรูปแบบหลักทรัพย์ อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงได้น้อยกว่า เนื่องจากจำเป็นต้องมีการระดมทุนเงินทุนถึงหลายหมื่นดอลลาร์
Hedge Fund จะไม่อยู่ภายใต้กฎการคุ้มครองนักลงทุนที่กำหนดโดยหน่วยงานในตลาดสำหรับกองทุนรวม กลยุทธ์การลงทุนที่ใช้มักจะมีความกล้าได้กล้าเสียมากกว่า และต้องการดำเนินการชนะตลาด นอกจากนี้ยังใช้เลเวอเรจและตราสารอนุพันธ์ในการลงทุนด้วย
Hedge Fund นั้นยังเป็นอีกแนวทางที่จะกระจายความเสี่ยงจากกองทุนรวมด้วย ยกตัวอย่าง หากคุณลงทุนแค่สินทรัพย์ของกองทุนรวม คุณจะถือเพียง Long position ในตลาด นั่นหมายถึงมีผลดำเนินการที่ต่ำเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง ในทางตรงกันข้ามหากคุณลงทุนใน Hedge Fund ด้วย คุณจะสามารถลดความเสี่ยงในช่วงขาลงได้ เนื่องจากผู้จัดการกองทุนจะใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงแบบเชิงรุก
ความเสี่ยงจากการลงทุนใน Hedge Fund
การลงทุนใน Hedge Fund นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่าเมื่อไรที่กองทุน Hedge Fund ทำกำไรได้ เนื่องจากกองทุนจะแบ่งปันกำไรจากเงินทุนกับนักลงทุน ในทางกลับกันหาก Hedge Fund สูญเสียเงิน จะมีเฉพาะนักลงทุนที่สูญเสีย เว้นแต่ผู้จัดการจะลงทุนเงินทุนของตนเองในกองทุนด้วย ความเสี่ยงในการสูญเสียจึงมักอยู่ที่ฝ่ายนักลงทุน
การใช้เลเวอเรจและตราสารอนุพันธ์นั้นยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น แต่ Hedge Fund จะใช้วิธีหลังสำหรับกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงที่มึความซับซ้อน
Hedge Fund มักไม่เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุน เพราะกลัวว่าจะสูญเสียความได้เปรียบทางสถิติในตลาด (ขอบเขตการเทรด) อย่างไรก็ตาม Hedge Fund สามารถแจ้งให้นักลงทุนทราบถึงแนวทางหลักและผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้
ข้อดีและข้อเสียของ Hedge Fund
ข้อดี
- มีความยืดหยุ่นมากกว่ากองทุนทั่วไป
- การควบคุมจากสถาบันที่กำกับดูแลมีความเข้มงวดน้อยกว่า
- ให้ผลตอบแทนลูกค้าสูงถึง 25% ต่อปี
- กระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสีย
- ขาดความโปร่งใส
- ขาดสภาพคล่อง นักลงทุนต้องลงทุนในระยะยาว
- มีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม (หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, กองทุนรวม, ฯลฯ)
- มีชื่อเสียงที่ไม่ดี
Hedge Fund นั้นถูกควบคุมน้อยกว่าและมีความโปร่งใสน้อยกว่ากองทุนแบบเดิมด้วย นอกจากนี้ผู้จัดการมักกำหนดช่วงเวลาซึ่งคุณไม่สามารถถอนเงินลงทุนของคุณได้
ลูกค้าจะต้องรอหนึ่งถึงสามปีก่อนที่พวกเขาจะได้ทุนคืนทั้งหมด ในช่วงเวลานี้หาก Hedge Fund ที่คุณลงทุนไว้ไม่มีกำไร ความเสี่ยงก็อาจจะทำให้คุณหมดความอดทน
สิ่งสำคัญที่ต้องชี้ให้เห็นคือ Hedge Fund ก็มีข่าวในแง่ร้ายเช่นกัน เนื่องจากมักจะทำกำไรจากวิกฤตการณ์และความผิดพลาดแบบฉับพลัน ซึ่งในขณะที่ Hedge Fund บางแห่งสร้างประโยชน์จากเหตุการณ์เหล่านี้ แต่กองทุนอื่นๆ กลับขาดทุน นอกจากนี้ Hedge Fund ยังมีส่วนร่วมในสภาพคล่องของตลาด เพื่อให้นักลงทุนสามารถหาคู่สัญญาได้ง่ายขึ้น
ความปลอดภัยของ Hedge Fund
แม้ว่า Hedge Fund ต้องลงทะเบียนกับหน่วยงานด้านตลาดการเงิน แต่วิธีการจัดการกองทุนไม่ได้ถูกควบคุมทั้งหมดเมื่อเทียบกับกองทุนแบบดั้งเดิม
ในสหรัฐอเมริกา
ในสหรัฐอเมริกา Hedge Fund จะได้รับการควบคุมในรัฐที่จัดตั้งขึ้น หากผู้จัดการมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการน้อยกว่า 25 ล้าน สถาบันก็ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนกับ SEC (Securities and Exchange Commission) นั่นก็คือคณะกรรมาธิการควบคุมการซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์
ในสหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักรเป็นตลาด Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดย Hedge Fund ที่จัดตั้งขึ้นในสหราชอาณาจักรต้องลงทะเบียนกับ FCA (Financial Conduct Authority) เป็นหน่วยงานกำกับนโยบายทางด้านการเงินซึ่งอยู่ในสหราชอาณาจักร ผู้จัดการกองทุน Hedge Fund ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดโดย MiFID II ในสหราชอาณาจักร ซึ่งกฎเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์การลงทุนและการตลาดต่าง ๆ
ในฝรั่งเศส
ในฝรั่งเศส Hedge Fund หรือกองทุนทางเลือกต่าง ๆ จะอยู่ภายใต้อำนาจของ AMF หน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นของฝรั่งเศส หรือพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นคือ กองทุนทางเลือกจะถูกควบคุมโดย AMF จากคำสั่งของรัฐสภาสหภาพยุโรป 2011/61 กองทุนทั้งหมดที่จัดตั้งขึ้นในสหภาพยุโรปจะได้รับประโยชน์จากหนังสือเดินทางยุโรป ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างข้อเสนอในตลาดได้ทั่วทั้งเขตเศรษฐกิจ
ในละตินอเมริกา
ในละตินอเมริกา Hedge Fund จะอยู่ภายใต้ข้อบังคับของหน่วยงานที่มีอำนาจในตลาด สำหรับหน่วยงานที่ควบคุม 4 อันดับแรกในภูมิภาคมีดังต่อไปนี้
ประเทศ | หน่วยที่มีอำนาจกำกับดูแล |
---|---|
บราซิล | Brazilian Securities and Exchange Commission |
เม็กซิโก | Ministry of Finance and Public Credit and CNBV |
อาร์เจนตินา | Comisión Nacional de Valores (CNV) |
โคลอมเบีย | Superintendencia Financiera de Colombia |
ในเอเชียแปซิฟิก
ประเทศ | หน่วยที่มีอำนาจกำกับดูแล |
---|---|
ญี่ปุ่น | Financial Instruments and Exchange Act (FIEA) |
ออสเตรเลีย | Australian Securities and Investments Commission (ASIC) |
จีน | China Securities Regulatory Commission (CSRC) |
ฮ่องกง | Securities and Futures Commission (SFC) |
5 กองทุน Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและกลยุทธ์ที่ใช้
สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าตลาด Hedge Fund อย่างไม่ต้องสงสัย และมี Hedge Fund กองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Hedge fund | ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร(พันล้านดอลลาร์) | กลยุทธ์หลัก |
---|---|---|
Citadel Investment Group | 218 | Multi-strategy / commodities |
Berkshire Hathaway | 208 | Long Equity |
Renaissance Technologies | 113.6 | Arbitrage |
AQR Capital Management | 89.6 | Multi-strategy |
DE Shaw | 80 | Quantitative trading |
การอภิปรายและข้อโต้แย้ง
แม้ว่า Hedge Fund จะเป็นผู้เล่นหลักในตลาดการเงิน แต่ก็มีชื่อเสียงในทางไม่ดีนัก เพราะมักจะถูกกล่าวหาว่าแสวงหาผลกำไรจากการล่มสลายของสังคมและวิกฤตการณ์ทางการเงิน
ความเสี่ยงต่อระบบ
ในอดีตได้แสดงให้เห็นว่า Hedge Fund นั้นเป็นผู้เล่นหลักในด้านการเงินและเศรษฐกิจ หลังจากการล่มสลายของ Long Term Capital Management (LTCM) ในปี 1998 ทำให้โลกได้ตระหนักว่า Hedge Fund มีความเสี่ยงต่อระบบ LTCM เป็นกองทุน Hedge Fund ที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา แต่กลับมีหนี้สินสูงถึง 25 เท่าของขนาดทุน (เลเวอเรจ 1:25)
ความเสี่ยงของระบบอธิบายถึงความเป็นไปได้ของความล้มเหลวซึ่งสัมพันธ์กันระหว่างสถาบันการเงิน ซึ่งโดยทั่วไปจะมาจากบางสถาบันหรือบางภาคส่วน นั่นคือธนาคารหรือ Hedge Fund การล่มสลายของ LTCM ทำให้เกิดวิกฤตสภาพคล่องในสหรัฐอเมริกา
ความเสี่ยงต่อระบบของ Hedge Fund ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากธนาคารขนาดใหญ่มีสาขาในการซื้อขายหลักทรัพย์ แล้วมักจะดำเนินการเหมือนกับ Hedge Fund นอกจากนี้การซื้อขายตราสารอนุพันธ์บางประเภทยังดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการลงทุน กล่าวได้ว่า Hedge Fund ทำให้ธนาคารมีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการซื้อขายต่าง ๆ การล้มละลายของ Hedge Fund ขนาดใหญ่สามารถทำให้ตลาดการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมเสียหายได้
ชื่อเสียงในทางไม่ดี
Hedge Fund มักจะถูกเพ่งเล็งเมื่อมีการเก็งกำไรในตลาดที่มากเกินไปตั้งแต่การล่มสลายของ LTCM ในปี 1998 นอกจากนี้กองทุนส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่สามารถเอาชนะตลาดได้
CEM Benchmarking ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนในโตรอนโตเปรียบเทียบความสามารถในการทำกำไรของ Hedge Fund ขนาดใหญ่ 382 กองทุนกับดัชนีหุ้นและตราสารหนี้ ต่อมา CEM พบว่า Hedge Fund ส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาชนะตลาดในแต่ละปีได้ ระหว่างปี 2000 ถึง 2016 หรือกล่าวได้ว่ากองทุนแบบดั้งเดิมนั้นสามารถทำผลงานได้ดีกว่า Hedge Fund
การขาดความโปร่งใส
คุณอาจเข้าใจแล้วว่า Hedge Fund นั้นไม่ใช่สถาบันการเงินที่โปร่งใสที่สุด นักลงทุนจะไม่รู้ว่าผู้จัดการกำลังลงทุนในสินทรัพย์อะไร เนื่องจากพวกเขามักเลือกสินทรัพย์ที่ซับซ้อน ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่แนะนำให้คุณปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินก่อนตัดสินใจลงทุนใน Hedge Fund
สรุป
Hedge Fund เป็นทั้งเครื่องมือการลงทุนที่ซับซ้อนและยังเป็นที่ถกเถียงกัน กองทุนจะรับความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อเอาชนะตลาด ซึ่งส่งผลให้ Hedge Fund มีการใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการใช้ตราสารอนุพันธ์และเลเวอเรจอีกด้วย
จากการศึกษาพบว่า “การเอาชนะตลาด” นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป แม้จะมีทรัพยากรจำนวนมากที่ลงทุนโดย Hedge Fund ก็ตาม อย่างไรก็ตาม Hedge Fund ยังคงเป็นการลงทุนที่น่าสนใจมากสำหรับนักลงทุนที่ต้องการการเติบโตอย่างแท้จริง สุดท้ายแล้วมันจะช่วยให้คุณสามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบเดิม
คำถามที่พบบ่อย
การลงทุนใน Hedge Fund ขั้นต่ำคือเท่าไร?
สำหรับกองทุนทางเลือกที่ยอมรับการลงทุนที่ค่อนข้างต่ำจะเริ่มต้นที่ $30,000 (~฿1,000,000)
Hedge Fund มีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนรวมหรือไม่?
ใช่