การเป็นเทรดเดอร์ออนไลน์

อาชีพในการเป็นเทรดเดอร์นั้นถูกจำกัดไว้เป็นเวลานานแล้วสำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสูงโดยต้องสำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในสาขาการเงิน แต่ในช่วงทศวรรษที่ 2000 การที่มีโบรกเกอร์ออนไลน์และเทรดดิ้งแพลตฟอร์มจำนวนมากช่วยให้เรื่องนี้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ปัจจุบันการเข้าถึงตลาดการเงินก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นและคุณก็ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาด้านเศรษฐศาสตร์หรือการเงินอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามการที่มีวุฒิการศึกษาระดับวิทยาลัยจะช่วยให้คุณสามารถเข้าทำงานในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเทรดที่มีชื่อเสียงได้ง่ายขึ้น ความจริงก็คือหากคุณต้องการเป็นเทรดเดอร์อิสระอย่างน้อยคุณจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมทางออนไลน์ และในบทความนี้เราจะมาเสนอโอกาสที่น่าสนใจให้คุณได้ติดตามกัน

เทรดเดอร์คืออะไร

เทรดเดอร์ คือ ผู้ที่ทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์เพื่อตัวเองหรือเพื่อตัวบริษัทหรือตัวลูกค้า พวกเขาจะเข้าไปในตลาดต่างๆ เพื่อทำการเจรจาต่อรองเพื่อที่จะทำให้เงินทุนของพวกเขานั้นเติบโตขึ้น ข้อแตกต่างระหว่างเทรดเดอร์และนักลงทุนคือระยะเวลาที่พวกเขาครอบครองสินทรัพย์ต่างๆ เอาไว้ในมือ โดยนักลงทุนจะถือสินทรัพย์ไว้เป็นเวลานานหลายปีขณะที่เทรดเดอร์จะถือสินทรัพย์ในระยะสั้นเท่านั้น พวกเขาจะทำการซื้อสินทรัพย์เพื่อนำไปขายต่อในช่วงเวลาเดียวกัน

เทรดเดอร์ออนไลน์ คือ คนที่ดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจจากที่บ้านของพวกเขาหรือที่อื่นๆ ได้ โดยสิ่งที่พวกเขาจะต้องมีก็คือแค่เครื่องคอมพิวเตอร์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อให้พวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับตลาดหุ้นต่างๆ ได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้โดยการใช้เทรดดิ้งแพลตฟอร์มที่โบรกเกอร์ให้บริการแก่เรา

โบรกเกอร์ที่ทีความเชี่ยวชาญในด้าน Forex ก็จะให้บริการการซื้อขายสกุลเงินออนไลน์หรืออื่นๆ หรือโบรกเกอร์อาจจะมีความเชี่ยวชาญในตลาดอื่นๆ เช่น ตลาดตราสารทุน, สินค้าโภคภัณฑ์หรืออนุพันธ์ ก็สามารถให้บริการตามตลาดที่ตนเองมีความถนัดได้

คุณสมบัติของการเป็นออนไลน์เทรดเดอร์

ในการเทรดเพื่อเป็นนักเทรดมืออาชีพนี้คุณไม่จำเป็นต้องเทรดในห้องเทรดดิ้งหรือในบริษัทเทรดดิ้งเลย ตราบที่คุณสามารถเทรดออนไลน์เพื่อเลี้ยงชีพได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้ก็ถือว่าคุณเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพแล้ว แล้วคุณสมบัติที่คุณต้องมีในการเทรดออนไลน์มีอะไรบ้าง

การเป็นเทรดเดอร์ออนไลน์นั้นไม่แตกต่างอะไรมากจากการเทรดในสถาบันการเงิน เพราะสิ่งที่สำคัญมันจะขึ้นอยู่กับการมีคุณภาพในการเทรดมากกว่าวิธีที่ใช้ในการเทรด

ความอดทน

เนื่องจากในตอนนี้ โอกาสที่คุณสามารถทำการเทรดซื้อขายได้นั้นก็มีมากมายขึ้นทุกวัน การที่จะมานั่งดูชาร์ทหรือทำการวิเคราะห์ตลาดแล้วอดกลั้นบังคับให้ตัวเองทำตามแผนการซื้อขายที่วางไว้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เลย เพราะเมื่อคุณคิดว่าคุณเห็นโอกาสในการเทรดแล้ว คุณก็มักจะใช้อารมณ์นำหน้าสิ่งที่ควรจะเป็นมากกว่า

นอกจากนี้พวกเขายังไม่มีความอดทนที่จะรอโอกาสในการสร้างกำไรที่มากขึ้นจนทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะปิดการเทรดไปซะก่อน หากคุณต้องการเทรดออนไลน์แบบฟรีแลนซ์ คุณก็ควรจะต้องเรียนรู้ที่จะอดทน เพราะเทรดเดอร์มืออาชีพต้องมีความอดทนที่มากกว่าปกติ

ไม่ย่อท้อ

หากคุณเป็นคนที่ไม่มีความมั่งคงเด็ดเดี่ยว คุณก็อาจจะเป็นคนล้มเลิกการเทรดเร็วจนเกินไป การเทรดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากและมักจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อบางอย่างที่กล่าวว่าคุณไม่ได้สร้างเงินล้านภายในชั่วข้ามคืนได้ คุณจะต้องใช้ความพากเพียรและอดทนในการลองใช้วิธีการและแนวทางต่างๆ ที่อาจใช้ไม่ได้ผลในตอนแรก คุณต้องค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะพบวิธีในการเทรดที่เหมาะกับตัวคุณและนั่นแหละที่จะสามารถผลกำไรให้คุณได้ในตลาดนี้ได้

ฝึกฝน

คุณไม่จำเป็นต้องเรียนจนได้ใบปริญญาโท แต่คุณสามารถหาคอร์สที่สามารถฝึกสอนการเทรดทางออนไลน์  ที่มีคุณภาพได้ คุณต้องมีความมั่นใจที่จะประสบความสำเร็จ แล้วสิ่งนี้จะเป็นตัวผลักดันให้คุณเพิ่มพูนความรู้ผ่านการเรียนออนไลน์ได้ และนอกจากนี้คุณยังสามารถฝึกฝนได้จากการอ่านหนังสือที่สอนเกี่ยวกับการเทรดซื้อขายได้ด้วย เพราะมีแหล่งข้อมูลมากมายให้คุณสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลาบนโลกออนไลน์

มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดี

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ให้กันในการทำธุรกิจและการค้าขายต่างๆ นอกจากนี้การใช้ศัพท์เฉพาะด้าน เช่น ศัพท์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคจำนวนมากจะถูกสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษกัน หากคุณมีความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาอังกฤษแล้วมันจะช่วยให้คุณอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคหรือพื้นฐานใดๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ต่างๆ ที่ทำขึ้นโดยนักวิเคราะห์ที่ชื่อว่า แองโกล – แซกซอน ได้

มีเงินทุนที่เพียงพอ 

การมีอาชีพเป็นเทรดเดอร์อิสระคงเป็นความฝันของเทรดเดอร์จำนวนมาก อย่างไรก็ตามความท้าทายที่สำคัญนั้นคงเป็นเรื่องของเงินทุนที่ใช้ในการเทรด คุณต้องมีเงินทุนในการเทรดที่เพียงพอโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเลเวอเรจจำนวนมากเพื่อใช้ในการรักษาเงินทุนของคุณ เพราะอาจจะมีบางเดือนที่คุณไม่สามารถทำกำไรได้เลย  แล้วคุณจะทำอย่างไรละเพื่อให้สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ในกรณีนี้ได้ เพราะเหตุนี้เองคุณจึงต้องมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอที่จะสามารถนำไปใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็นจริงๆ 

การมีเงินทุนที่น้อยกว่า $100,000(~฿3,100,000) จะไม่สามารถทำให้คุณเลี้ยงชีพตัวเองจากการเทรดได้ เนื่องจากการมีเงินทุนจำนวนแค่นี้นั้นจะทำให้คุณมีความเสี่ยงในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้แล้วมันอาจส่งผลต่อการจัดการเงินของคุณ

อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจำเป็นต้องมี $ 100,000(~฿3,100,000) เพื่อใช้ในการเทรด คุณสามารถเริ่มต้นด้วยเงินทุนที่น้อยๆ ก่อนเพื่อให้จุดมุ่งหมายที่คุณตั้งไว้นั้นมันสำเร็จไปก่อน

อาชีพเทรดเดอร์มืออาชีพ (ระดับสถาบัน)

ในการเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพที่ทำงานให้กับสถาบันการเงินนั้นต้องอาศัยการสั่งสมในระยะเวลานานและค่อนข้างจะมีความซับซ้อน คุณจะต้องจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและหาโอกาสที่จะสร้างเครือข่ายกับผู้มีอิทธิพลในสาขานี้ให้ได้มากที่สุด

คุณสมบัติเหล่านี้ก็เป็นคุณสมบัติที่คุณจะต้องมีเช่นกันเพื่อที่จะเป็นเทรดเดอร์ออนไลน์ การเทรดในระดับสถาบันนั้นมีข้อดีหลายประการ มันเป็นรูปแบบของการเทรดที่จะช่วยให้คุณมีทรัพยากรที่มากขึ้นเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จในตลาดได้

นอกจากนี้การเทรดในระดับสถาบันนี่จะช่วยให้คุณร่ำรวยมากกว่าการเทรดเพื่อแค่ตัวคุณเอง คุณจะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีระบบโบนัสเกิดขึ้นมาในภายหลัง

ในการเป็นเทรดเดอร์ในระดับสถาบันนั่น นอกเหนือจากคุณสมบัติต่างๆ ที่เราได้เห็นแล้ว ต่อไปนี่คือแนวทางที่คุณควรจะต้องปฏิบัติตาม

เข้าเรียนในสถานศึกษาด้านธุรกิจโดยเน้นไปในเรื่องการเงิน

เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากหากคุณต้องการเข้าทำงานกับธนาคารในฐานะเทรดเดอร์มืออาชีพแต่ว่าคุณไม่ได้จบจากสถานศึกษาด้านการเงินในระดับชั้นนำ แต่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเทรดเดอร์ในระดับสถาบันนี้จะต้องเป็นผู้ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเท่านั้น เราจะอธิบายให้คุณได้เห็นภาพเพิ่มเติมด้านล่างว่าคุณสามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาใดได้บ้างเพื่อให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายในอาชีพของคุณได้

สังเกตได้ว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเทรดส่วนมากได้จ้างเทรดเดอร์ให้เข้ามาร่วมงานด้วยโดยดูจากผลงานของพวกเขา และหากว่าผลการเทรดที่ผ่านมาของคุณนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี คุณก็สามารถติดต่อบริษัทเหล่านี้ได้

ไปเป็นโบรกเกอร์

การเข้าไปร่วมทำงานกับบริษัทที่เป็นโบรกเกอร์นั้นอาจจะง่ายกว่า แต่คุณก็จะต้องมีใบปริญญาในการเข้าไปทำงานนี้เช่นกัน การเป็นโบรกเกอร์เป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นอาชีพการเทรดของคุณเลย

ในความเป็นจริงแล้ว เทรดเดอร์ในระดับสถาบันส่วนใหญ่นั่นจะเริ่มทำงานจากที่บริษัทโบรกเกอร์ขนาดเล็กๆ ก่อน การเป็นโบรกเกอร์จะช่วยสอนให้คุณเข้าใจว่าตลาดการเงินนี้ทำงานอย่างไร

ตำแหน่งหน้าที่ของเทรดเดอร์

ในสถาบันการเงินนั้น มีหน้าที่อยู่หลายตำแหน่งให้เทรดเดอร์ได้ทำงานกัน ซึ่งแต่ละตำแหน่งหน้าที่นั้นขึ้นอยู่กับระดับความรู้ของคุณ ตำแหน่งแต่ละตำแหน่งจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันมาก โดยตำแหน่งส่วนใหญ่มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ แผนกต้อนรับ, แผนกกลางและแผนกหลังบ้าน

แผนกส่วนหน้า

ในธนาคารเพื่อการลงทุนนี้ แผนกส่วนหน้าคือตำแหน่งที่คุณจะต้องพูดคุยกับลูกค้าโดยตรงไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือสถาบันก็ตาม คุณจะได้เป็นพนักงานขายสินทรัพย์เพื่อการลงทุนในห้องค้า และคุณจะต้องรับผิดชอบในสิ่งต่างๆ เช่น การหาคู่สัญญา, การส่งคำสั่งซื้อในตลาด, การเก็งกำไร, การทำหน้าที่เป็นคนกลาง ฯลฯ

แผนกกลาง

ตัวแทนในแผนกกลางจะเป็นผู้ที่ควบคุมดูแลผู้จัดการความเสี่ยง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นนักวิเคราะห์ที่จะต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของตลาดและสามารถแจ้งให้แผนกส่วนหน้าทราบเกี่ยวกับปริมาณการเทรดที่สำคัญ ระดับราคาและอื่นๆ แผนกส่วนกลางยังต้องดูแลเทรดเดอร์ภายในบริษัทให้ปฏิบัติตามกฎการเทรดและระดับความเสี่ยงที่กำหนดขึ้นโดยสถาบันการเงินด้วย

แผนกหลังบ้าน

ในห้องค้านี้ แผนกหลังบ้านจะฝ่ายจัดการด้านการบริหาร   ในฝ่ายหลังบ้านนี้จะประกอบไปด้วยการวิเคราะห์และควบคุมดูแลคำสั่งเทรดต่างๆ ที่ดำเนินการโดยแผนกส่วนหน้า และยังรวมถึงการทำบัญชีด้วย

เงินได้ของเทรดเดอร์

เงินได้ของเทรดเดอร์ในระดับของสถาบันนั้นจะแตกต่างกันออกไป โดยเฉลี่ยแล้วเทรดเดอร์จะมีรายได้สูงกว่า $100,000(~฿3,100,000) ต่อปี แต่มันก็จะขึ้นอยู่กับผลงานของพวกเขาด้วย พวกเขาอาจได้รับเงินโบนัสซึ่งคิดเป็นจำนวนหลายเท่าของเงินเดือนประจำปีเลยก็ได้

ในสหรัฐอเมริกา เทรดเดอร์ที่อยู่ใน Wall Street จะมีเงินเดือนเฉลี่ยมากกว่า $200,000(~฿6,200,000) และหากเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากที่สุดก็จะมีรายได้เฉลี่ย $300,000(~฿9,300,000) และถ้ารวมโบนัสไปด้วย พวกเขาก็จะกลายเป็นเศรษฐีได้อย่างง่ายดายโดยนำเงินทุนของตนเองไปลงทุนให้เกิดความเสี่ยงเลย

คุณสมบัติอะไรของเทรดเดอร์ที่เป็นที่ต้องการ

คุณสมบัติของเทรดเดอร์นั้นมีหลายประเภท บางคนอาจประเภทก็เป็นแบบดั้งเดิมหัวโบราณ และนอกจากนี้ยังมีผู้ที่มีความรู้นอกเหนือจากการเทรดซื้อขายด้วย โดยคนประเภทนี้ก็จะเป็นที่ต้องการมากกว่าคนอื่น

เทรดเดอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ (Quant Trader)

ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่เราสามารถทำการซื้อขายกันได้อย่างอัตโนมัติมากขึ้น การซื้อขายโดยการใช้รูปแบบของอัลกอริทึมกำลังเกิดขึ้นมากขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, Forex หรืออนุพันธ์ก็ตาม และจากการวิจัยของ ResearchAndMarkets.com พบว่าการซื้อขายแบบอัลกอริทึมนี้จะมีอัตราการเติบโตปีละ 10% ในระหว่างปี 2018 ถึง 2022

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเทรดเดอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์จึงเป็นที่นิยมมากที่สุดในตลาด และในฐานะที่เป็นเทรดเดอร์ประเภทนี้ที่เน้นไปในเชิงของตัวเลข คุณก็จะสามารถพัฒนาโปรแกรมการซื้อขายแบบอัตโนมัติเพื่อนำไปใช้สำหรับการซื้อขายในปริมาณมากๆ ได้

 ▸รายละเอียดของ Quant trader

เทรดเดอร์ประเภทที่กล่าวมานี้ก็เหมือนเป็นนักคณิตศาสตร์ดีๆ นี่เอง หากคุณใฝ่ฝันที่จะเป็นเทรดเดอร์ประเภทนี้ คุณต้องมีความรู้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์และรวมถึงความรู้ทางด้านการเงินด้วย คุณจะต้องเชี่ยวชาญในเรื่องของตัวเลข นอกจากนี้อาจต้องมีความรู้เรื่องความน่าจะเป็นและสถิติอีกด้วย

เทรดเดอร์ที่ทำหน้าที่ซื้อขายหุ้นหรือตราสารอนุพันธ์ด้วยเงินของคนอื่น (Prop Trader)

นี่เป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับค่าตอบแทนที่ดีที่สุดในโลกหากคุณทำแล้วประสบความสำเร็จ Prop Trader หรือเทรดเดอร์ที่ทำหน้าที่ซื้อขายหุ้นหรือตราสารอนุพันธ์ด้วยเงินทุนจากสถาบันการเงินที่จ้างงานพวกเขา เทรดเดอร์ประเภทนี้จะต้องเคารพกฎที่ตั้งไว้และจะต้องจำกัดความเสี่ยงด้วย ถือเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงซึ่งจะต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์นานอยู่หลายปี

▸รายละเอียดของ Prop trader

เทรดเดอร์ประเภทนี้จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดการเงินเป็นอย่างดี และพวกเขามักจะเชี่ยวชาญในการใช้วิธีการเทรดแบบใดแบบหนึ่งที่เฉพาะเจาะจงลงไปเลย  หรือเชี่ยวชาญในแนวทางที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น สถาบันต่างๆ จะไม่รับสมัครเทรดเดอร์ “ทั่วไป” เช่น พวกที่ซื้อขายกันในตลาด Forex และตลาดตราสารทุน เพราะตลาดเหล่านี้มีความผันผวนที่แตกต่างกัน

ผู้ที่เพิ่งจะสำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษาด้านธุรกิจมักไม่ค่อยได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมทำงานในสถาบันการเทรดประเภทนี้ เนื่องจากเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดเป็นเวลานานก่อน โดยเทรดเดอร์ประเภทนี้มักมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีขึ้นไป

ผู้ดูแลสภาพคล่องการซื้อขาย (Market Maker)

การเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องการซื้อขายถือว่าเป็นงานที่ไม่ได้ยากมากนัก โดยเทรดเดอร์ในระดับสถาบันที่ยังอายุน้อยอยู่ส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นงานด้วยตำแหน่งนี้กัน พวกเขาไม่ได้ควบคุมราคาของสินทรัพย์ต่างๆ แต่พวกเขาเป็นเหมือนตัวกลาง โดยมีหน้าที่เพียงแค่ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ให้กับลูกค้าโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำกำไรจากค่าสเปรดซึ่งถือเป็นความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายของสินทรัพย์ ดังนั้นแล้วผู้ดูแลสภาพคล่องจะต้องรักษาสภาพคล่องในตลาด

▸รายละเอียดของ Market maker

ผู้ดูแลสภาพคล่องนี้จะมีความแตกต่างจากเทรดเดอร์ประเภทอื่นๆ ตรงที่พวกเขาไม่ทำกำไรตามความผันผวนของตลาด แต่พวกเขาใช้ประโยชน์จากการทำธุรกรรมที่พวกเขาทำสรุปไว้ พวกเขาจะต้องทำงานแบบเชิงรุกและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การบริหารความเสี่ยงก็ถือเป็นหัวใจสำคัญของพวกเขาด้วยเพราะจะต้องป้องกันคำสั่งเทรดที่พวดเขากำลังทำอยู่ด้วย

เทรดเดอร์สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Trader)

โดยทั่วไปเทรดเดอร์และโบรกเกอร์จะเทรดให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนและยังเทรดซื้อขายอนุพันธ์ในสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดนี้มีความซับซ้อนเนื่องจากวัตถุดิบนั้นถือเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค

 ▸รายละเอียดของ Commodity trader

เทรดเดอร์ประเภทนี้ควรเป็นนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญด้านปัจจัยพื้นฐาน โดยมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าและส่งออกวัตถุดิบที่สำคัญ เทรดเดอร์ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์นี้จะต้องติดตามข่าวการเมืองระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด, ความตึงเครียดทางการเมือง – เศรษฐกิจต่างๆและวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมการผลิต ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานในราคาของวัตถุดิบ

การเรียนรู้ – การศึกษาเพื่อที่จะมาเป็นเทรดเดอร์

มีสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงหลายแห่งที่คุณสามารถลงทะเบียนเรียนได้เพื่อที่จะเป็นเทรดเดอร์ในระดับสถาบัน มหาวิทยาลัยบางแห่งโดยเฉพาะในอเมริกามักจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น JPMorgan หรือ Goldman Sachs จะเข้ามาหาและรับสมัครพนักงานเพื่อให้เข้าไปร่วมงานด้วย โดยการคัดเลือกในมหาวิทยาลัยเหล่านี้นั้นมีการแข่งขันกันสูงมากด้วย

สถาบันขนาดใหญ่ยังร่วมมือกับมหาวิทยาลัยบางแห่งเพื่อให้มีสิทธิพิเศษในการสรรหาบัณฑิตที่ดีที่สุดก่อน  ตัวอย่างเช่น Goldman Sach จะรับสมัครผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียประมาณ 25 คนและรวมถึงโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอย่าง Wharton Business School

และยังมีมหาวิทยาลัยอื่นๆ เช่น Cornell, Harvard และ New York University ก็ได้รับความนิยมจากสถาบันการเงินด้วยเช่นกัน

ในประเทศอังกฤษ โรงเรียนมหาวิทยาลัยบางแห่งได้สร้างเทรดเดอร์ในระดับสถาบันออกมาจำนวนมาก อย่างเช่นที่ Saïd Business School ใน Oxford โดยผู้สำเร็จการศึกษามักจะได้มีโอกาสเข้าไปทำงานที่ห้องค้าที่กรุงลอนดอน Imperial College Business School ในกรุงลอนดอนและที่ London School of Economics ยังเปิดสอนปริญญาโทด้านการเงินซึ่งได้รับความนิยมจากธนาคารรายใหญ่หลายรายด้วย

ในการจะเป็นเทรดเดอร์นั้นจะต้องจบ MBA หรือต้องได้ใบอนุญาต CFA จริงๆ เหรอ

หากคุณต้องการเป็นเทรดเดอร์ระดับสถาบัน การเริ่มต้นที่สถานศึกษาด้านการเงินรายใหญ่ๆ นั้นก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และการมีใบประกาศนียบัตรก็จะช่วยให้คุณสามารถเข้าไปทำงานในสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้นและยังไต่เต้าไปสู่โลกแห่งการเงินได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การเข้าไปเรียนในสถาบันการศึกษาอย่างที่ Ivy League นั้นอาจไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมสำหรับทุกคน โชคดีนะที่ตอนนี้การเทรดซื้อขายถือเป็นกิจกรรมที่ทุกคนสามารถทำได้ คุณสามารถเป็นเทรดเดอร์อิสระและสามารถทำกำไรได้ด้วยการฝึกฝนตัวเองและใช้เงินทุนของคุณเองในการเทรดได้


เทรดเดอร์ที่ดีที่สุดในโลก

ในตลาดการเงินนี้ เราได้เห็นเทรดเดอร์และนักลงทุนที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา  หลายคน โดยบางคนยังคงสร้างผลงานได้ดีหลังจากที่เวลาได้ผ่านไปหลายทศวรรษ

ในบทความนี้จะบอกคุณว่าใครคือเทรดเดอร์ระดับสถาบันและเทรดเดอร์อิสระที่ดีที่สุดบ้าง บางคนเริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่บางคนก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นโดยใช้เงินทุนของนักลงทุนรายอื่นๆ

เทรดเดอร์และนักลงทุนที่ดีที่สุดในระดับสถาบัน

Hedge Fund: Bridgewater

Bridgewater

Hedge Fund คือสถาบันการเงินที่ใช้กองทุนร่วมในการลงทุนในตลาด โดยมีเป้าหมายคือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนประเภทต่างๆ Hedge Fund ประกอบด้วยผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนในตลาดทุกประเภทและลงทุนในผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ

Hedge Fund ถือเป็นตัวที่เข้ามามีส่วนร่วมที่โดดเด่นในตลาดการเงิน และจากการวิจัยที่จัดทำขึ้นทุกปีโดย LCH Investments ซึ่งเป็น Hedge Fund ในลอนดอนนั้นได้กล่าวว่าผู้จัดการ Hedge Fund ชั้นนำของโลกมีรายได้ประมาณ 208.8 พันล้านยูโรโดยที่ไม่รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขายในปี 2018

ในบรรดา Hedge Fund ที่มีชื่อเสียงที่สูงสุด ได้แก่ Bridgewater Associates โดยสามารถทำเงินได้มากกว่า 51,700 ล้านยูโรนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1975

Bridgewater ก่อตั้งโดย Ray Dalio ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทในเวลาเดียวกัน โดยตั้งอยู่ในคอนเนตทิคัตสหรัฐอเมริกา Bridgewater เป็น Hedge Fund ที่มีความมั่นคงมากที่สุดระหว่างปี 2000 ถึง 2005 Hedge Fund นี้ถือว่าไม่ค่อยได้เป็นที่สนใจของนักลงทุนสักเท่าไหร่

แท้จริงแล้วกองทุนของพวกเขามี ROI 25% ต่อปีระหว่างปี 2001 ถึง 2010 ซึ่งถือว่าสุดยอดมาก และในปี 2018 Ray Dalio และผู้ร่วมงานของเขาสามารถสร้างรายได้ กว่า 7.2 พันล้านยูโรให้กับลูกค้าของพวกเขาด้วย

การเทรดซื้อขายด้วยเงินของผู้อื่น: DRW Trading

DRW Trading

การลงทุนแบบนี้จะไม่เหมือนกับกองทุนป้องกันความเสี่ยงซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นการลงทุนให้กับลูกค้า โดยที่บริษัทจะนำเงินทุนของลูกค้าเหล่านี้เข้าไปลงทุนในตลาด พวกเขาสามารถใช้วิธีการเทรดได้หลายวิธีซึ่งรวมถึงการซื้อขายบ่อยๆ ด้วย

โดยทั่วไปแล้วบริษัทเหล่านี้จะไม่เปิดเผยผลการดำเนินงานออกมา และบริษัทที่มีความโดดเด่นในด้านนี้ ได้แก่ DRW 

DRW ก่อตั้งโดย Don Wilson ซึ่งเป็นอดีต Floor Trader ที่ Chicago Mercantile Exchange (CME) ในช่วงปี 1980 โดยบริษัทนี้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกในการปรับตลาดการเงินให้เข้ากับเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการวิจัยและการบริหารความเสี่ยง

และเช่นเดียวกับบริษัทเทรดดิ้งส่วนใหญ่ ทาง DRW ก็มักจะเทรดด้วยความระมัดระวัง และตามผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Companies House ได้กล่าวว่าสาขา DRW INVESTMENTS LLC ของบริษัทได้ทำรายได้รวมในปี 2017 มากกว่า 436 ล้านยูโร

ธนาคาร: Goldman Sachs

Goldman Sachs

ในส่วนของภาคการธนาคาร Goldman Sachs แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกันเป็นอย่างดีกับตลาด ธนาคารแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกด้วยมูลค่าตลาดที่เกือบถึง 67 ล้านยูโร โดยธนาคารได้สร้างรายได้จำนวนมากในตลาดผ่านบริการต่างๆ

Goldman Sachs ก่อตั้งขึ้นที่นิวยอร์กในปี 1869 โดย Marcus Goldman ผู้ที่เป็นนายธนาคารชาวเยอรมันที่อพยพไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1848 บริษัทได้เปิดตัวสู่สาธารณะในปี 1906 และได้เข้าซื้อกิจการจำนวนมากจนเติบโตกลายเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่

Goldman เกิดเรื่องอื้อฉาวในตลาดในช่วงวิกฤตปี 2008 ที่เกิดวิกฤติทางการเงินที่แย่มากๆ ที่สุดครั้งหนึ่ง ทางธนาคารเองก็กลับทำเงินได้มากกว่า 32,700 ล้านยูโรในปีเดียวกันนั้น

เทรดเดอร์อิสระ: Richard Dennis

มันเป็นเรื่องยากมากที่เทรดเดอร์อิสระจะสามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ แต่ Richard Dennis เป็นผู้ที่สามาารถสร้างความโดดเด่นออกมาได้ เพราะในขณะที่เขาได้ทำการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าในปี 1970 เขาก็สามารถสร้างบัญชีการลงทุนของเขาจาก 360 ยูโร (เป็นจำนวนที่เขายืมมา) ให้กลายเป็นเงินจำนวน 180 ล้านยูโรได้!

เขาเริ่มอาชีพการเทรดที่ Chicago Mercantile Exchange ตั้งแต่อายุ 17 ปี และเขาจะยังคงเป็นทำหน้าที่เป็นเทรดเดอร์อิสระที่ Mid America Commodity Exchange ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายล่วงหน้าในชิคาโกโดยที่เขาทำการเทรดซื้อขายสินค้าเป็นหลัก และภายในสองปีเขาก็ได้กลายเป็นเศรษฐีเมื่ออายุ 26 ปีโดยการซื้อขายด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จกับการลงทุนในกองทุนป้องกันความเสี่ยงที่เขาเคยทำไว้ เขายังบริหารความเสี่ยงได้ไม่ดีพอ จนทำให้เกิดความสูญเสียมากกว่า 50% ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้เมื่อเข้ามาทำการซื้อขายกองทุนให้กับนักลงทุนรายอื่น

การเทรดแบบอัตโนมัติ: Virtu Financial

Virtu Financial

ในปัจจุบันนี้เมื่อเราพูดถึงการซื้อขายแบบอัตโนมัติเราก็มักจะพูดถึงการซื้อขายเป็นจำนวนหลายครั้ง วิธีการซื้อขายแบบนี้นั้นมีองค์ประกอบคือการพัฒนาโปรแกรมที่สามารถซื้อขายกันในตลาดโดยอัตโนมัติ และลักษณะเฉพาะของโปรแกรมนี้คือผู้ใช้งานสามารถส่งคำสั่งซื้อขายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ในอุตสาหกรรมที่การซื้อขายนั้นเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทาง Virtu Financial ถือเป็นบริษัทเทรดดิ้งที่เป็นมีความโดดเด่นในด้านประสิทธิภาพของการดำเนินการมาก  บริษัทตั้งอยู่ที่นิวยอร์กและบริษัทได้พัฒนาเทคโนโลยีการเทรดที่สามารถด้วยความถี่ที่สูงของตนเองขึ้นมาได้ ตอนนี้ทาง Virtu ได้ดำเนินธุรกิจในตลาดมากกว่า 230 แห่งทั่วโลกแล้ว

Virtu ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 โดย Vincent Viola เขาสำเร็จการศึกษาจาก West Point ซึ่งเป็นโรงเรียนทหารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา Virtu Financial ได้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของการเทรด อันที่จริงแล้วในอุตสาหกรรมการเทรดที่มีความถี่สูงนี้ ไม่มีบริษัท ใดที่จะสามารถดำเนินการได้ดีเท่ากับ Virtu Financial อีกแล้ว

บริษัทสามารถดำเนินการธุรกรรมได้มากถึง 5 ล้านรายการต่อวันโดยมีการจัดการความเสี่ยงที่เข้มแข็งมาก  ในปี 2014 บริษัทได้อ้างว่าในระหว่างเดือนมกราคม 2009 ถึงธันวาคม 2013 เกิดการขาดทุนเพียงหนึ่งรายการเท่านั้นจากการทำธุรกรรมทั้ง 1238 รายการ!  เทรดเดอร์ที่ต้องการที่จะเข้ามาในตลาดการซื้อขายแบบอัตโนมัตินี้ก็ควรจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Virtu

เทรดเดอร์และนักลงทุนที่สุดยอดที่สุดโดยแบ่งตามประเภทสินค้าที่ลงทุน

สินค้าโภคภัณฑ์: Jim Rogers

Jim Rogers

Jim Rogers ได้สร้างชื่อเสียงขึ้นมาในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และได้สร้างดัชนีของตัวเองขึ้นมา ได้แก่ ดัชนี Rogers International Commodity Index (RICI) และ Rogers Global Resources Equity Index (RGREI)

เขาเกิดในปี 1942 และเขายังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยง Georges Soros, กองทุน Quantum ในปี 1973 และกองทุน Soros ในปี 1969 เขาได้เรียนรู้การเทรดซื้อขายในช่วงปี 1960 ขณะที่เขายังทำงานอยู่กับ Dominick และ Dickerman ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนในนิวยอร์ก

นอกจาก Georges Soros แล้ว Jim ถือเป็นผู้ที่สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้ถึง 4200% ในระยะเวลา 10 ปี

เขาไม่ใช่แค่นักลงทุนเท่านั้น แต่เขาเป็นนักผจญภัยอีกด้วย เขากับภรรยาของเขา (Paige Parker) ได้ครองสถิติ Guinness ในการที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมในประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมากที่สุดในระหว่างการทัวร์รอบโลกระหว่างเดือนมกราคม 1992 ถึงมกราคม 2002 โดยพวกเขาไปยังประเทศต่างๆ จำนวน 114 ประเทศด้วยรถ Mercedes Benz ของเขาเอง

ตลาดตราสารทุน: Warren Buffett

Warren Buffett

หากคุณกำลังมองหาว่าใครคือนักลงทุนที่สุดยอดที่สุดตลอดกาลบนอินเทอร์เน็ตละก็ คุณจะต้องได้เจอกับ Warren Buffett อย่างไม่ต้องสงสัยเลย อาจบอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้เกิดมาเป็นนักลงทุนอย่างแท้จริง เพราะเขาซื้อหุ้นครั้งแรกในตอนที่เขาอายุ 11 ขวบ! พ่อของเขาได้สร้างบริษัทโบรกเกอร์ขึ้นมาเอง และจากนั้น Warren จับตาดูสิ่งที่นักลงทุนทำอย่างใกล้ชิดในทุกครั้งที่เขาไปที่ทำงานกับพ่อเขา

ที่ Columbia Business School  เป็นที่ที่ Warren ได้พบกับ Benjamin Graham ผู้ที่นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ Warren ได้เรียนรู้และผ่านหลักสูตรของ Graham เกี่ยวกับเรื่องการวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงขององค์กร จนทำให้ Warren ได้พัฒนาวิธีการวิเคราะห์บริษัทขึ้นมาและเขาก็ยังสามารถหาโอกาสในการลงทุนที่ดีได้ด้วย  เขากล่าวว่าหนังสือเรื่อง The Intelligent Investor  ของ Graham นั้นได้เป็นตัวกำหนดวิสัยทัศน์ของเขาในการเป็นนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทางการตลาด

Warren ได้สร้างบริษัทแห่งแรกของเขาขึ้นโดยเขาตั้งชื่อมันว่า Buffett Associatesในปี 1956 เขาได้ร่วมมือกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนของเขาจำนวนหลายคน  โดยเป้าหมายของเขาคือการนำเงินทุนของคนพวกนี้ไปสร้างอาณาจักรของเขาขึ้นมา เขาได้ประสบความสำเร็จในการซื้อขายหุ้นของหลายบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ จำนวนมาก

ในปี 1962 เขาได้เข้าซื้อบริษัท Berkshire Hathaway ซึ่งเขาเปลี่ยนเป็นบริษัทโฮลดิ้งในเวลาต่อมา หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของ Berkshire คือการเข้าซื้อ 1.3% ของ PetroChina ในราคา 488 ล้านดอลลาร์ในปี 2003 จากนั้นบริษัทได้ขายส่วนแบ่งออกมาในปี 2007 ด้วยกำไรกว่า 3.6 พันล้านดอลลาร์

Forex: Georges Soros

Georges Soros

เมื่อพูดถึง Forex ตำนานตัวยงในตลาดนี้ก็คือ Georges Soros เขาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่เก่งที่สุดตลอดกาลที่เคียงข้างมากับ Warren Buffett

Goerges Soros เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี เขาเกิดในปี 1930 เขาเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วยมูลค่าสุทธิกว่า 7.1 พันล้านยูโร อย่างไรก็ตามเขาได้บริจาคทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ให้กับมูลนิธิ Open Society ที่ตัวเขาเองเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา สมาคมที่ไม่ได้ดำเนินการเพื่อแสวงหาผลกำไรนี้ยังได้สนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนทั่วโลกอีกด้วย

Soros เป็นผู้ที่มาจากครอบครัวชาวยิวชนชั้นกลางในบูดาเปสต์ หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบสิ้นลง เขาได้ไปเรียนที่ London School of Economics และในปี 1973 เขาได้ร่วมงานกับ Jim Rogers และเขาก็ได้สร้างกองทุนป้องกันความเสี่ยงที่ชื่อว่า Quantum Fund ขึ้นมา

บุคลิกของ Soros นั้นดูค่อยข้างจะขัดแย้งกับสิ่งที่เขาทำ  เขากลายเป็นที่รู้จักตั้งแต่ในวันที่ 16 กันยายน 1992 ซึ่งเป็นวันที่คนเรียกว่า “Black Wednesday” ในสหราชอาณาจักร เมื่อสหราชอาณาจักรถูกบังคับให้ออกจากระบบการเงินของยุโรป ทางตัวของเขาเองก็ได้คาดการณ์เกี่ยวกับค่าของเงินปอนด์สเตอร์ลิงที่จะลดลงด้วยการเข้าไปซื้อช็อตในสกุลเงินนั้น และด้วยการซื้อช็อตสะสมกว่า 10,000 ล้านปอนด์ ทางผู้จัดการก็ได้รับเงินกลับคืนราวๆ 1 พันล้านยูโร

ฟิวเจอร์ส: Paul Rotter

Paul Rotter เป็นนักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สของเยอรมันโดยเฉพาะ Eurex ซึ่งเป็นออปชั่นและตลาดซื้อขายล่วงหน้าตัวหลักในยุโรป รูปแบบการซื้อขายของ Paul นั้นถือว่ายอดเยี่ยมมาก ความจริงก็คือเขาได้ส่งคำสั่งซื้อและขายมากกว่า 100 รายการต่อวันซึ่งทั้งหมดนี้เขาทำด้วยตัวของเขาเองและเขายังทำการซื้อและขายสินทรัพย์พวกนั้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเอง

เขาถือเป็นเทรดเดอร์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนักและบางคนก็อาจจะไม่เคยสังเกตเลยว่าเขามีตัวตนอยู่ ตามแหล่งข้อมูลบางแห่งได้กล่าวว่าเขาเป็นคนสัญชาติเช็กที่อาศัยอยู่ในเยอรมนี บางคนคาดเดาว่าเขาเป็นเทรดเดอร์ชาวไอริช ไม่ว่าเขาจะเป็นคนสัญชาติใดก็ตาม แต่วิธีการเทรดซื้อขายของเขานั้นดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก อันที่จริงแล้วมีเทรดเดอร์บางรายยังกล่าวหาว่า Paul เคยต้องรับผิดชอบต่อการขาดทุนของพวกเขาด้วย เนื่องมาจากว่า พวกเขาได้กล่าวว่า Paul กำลังเข้ามาแทรกแซงในสัญญาการซื้อขายพันธบัตรล่วงหน้าของรัฐบาลเยอรมัน

จากตามตำนานที่เคยกล่าวขานกันไว้ วิธีการค้ากำไรของเขานั้นทำให้เขาได้เงินเฉลี่ย 70 ล้านเหรียญ (~฿2,100 ล้านบาท) ต่อปีเป็นเวลา 10 ปี

ออปชั่น: Blair Hull

Blair Hull เป็นนักลงทุนชาวอเมริกันที่เกิดในปี 1942 ที่แคลิฟอร์เนีย เขาทำงานในอุตสาหกรรมการเทรดมานานกว่า 40 ปี และเขาเป็นที่รู้กันเนื่องจากการทำสัญญาซื้อขายออปชั่นในดัชนีหุ้นหลายล้านดอลลาร์ใน Chicago Stock Exchange

เขายังถือเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดตลอดกาลโดยเฉพาะในตลาดออปชั่นซึ่งเป็นสินค้าที่เขาได้รับรางวัลมากมายรวมถึงรางวัล “Joseph W. Sullivan Options Industry Achievement Award” เป็นรางวัลตอบแทนผู้เล่นในตลาดที่มีส่วนอย่างมากในการพัฒนาออปชั่นในตลาดอเมริกา

เขาเริ่มอาชีพในฐานะผู้ดูแลสภาพคล่องที่ Pacific Stock Exchange ที่ซานฟรานซิสโก (ปิดตัวลงในปี 2006)  บริษัทเทรดดิ้งของเขา (Hull Trading Company) ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1985 ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบในการซื้อขายอนุพันธ์ จากนั้นเขาก็ขายธุรกิจของเขาให้กับ Goldman Sachs ในปี 1999

Cryptocurrencies: Winklevosses

Winklevosses

Tyler และ Cameron Winklevoss ได้สร้างแหล่งแลกเปลี่ยน Cryptocurrencies ที่เรียกว่า Gemini ขึ้นมาในปี 2014 พวกเขายังเป็นหนึ่งในผู้ใช้งานและนักลงทุนใน Bitcoin รายแรกๆ ด้วย และเป็นที่ทราบกันดีว่าพี่น้อง Winklevoss brothers คู่นี้ได้เลยฟ้องร้อง Mark Zuckerberg โดยกล่าวหาว่า Mark ได้ขโมยไอเดียของพวกเขาไปสร้าง Facebook และในปี 2011 พวกเขาก็ชนะคดีโดยได้รับเงินชดเชยจำนวน 65 ล้านดอลลาร์

จากนั้นพวก Winklevoss ก็มีไอเดียในการลงทุนเงินจำนวน 11 ล้านจากรายได้ของพวกเขาเข้าไปใน Bitcoin ซึ่งในปี 2013 ราคาตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 120 ดอลลาร์ จากนั้นพวกเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถือ Bitcoin wallet ที่ใหญ่ที่สุด ในช่วงที่ตลาดเกิดฟองสบู่ในปี 2007 พี่น้อง Winklevoss ก็ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีเมื่อราคาของ Bitcoin เพิ่มขึ้นสูงกว่า 15,000 ดอลลาร์

พี่น้องคู่นี้ยังคงถือ Bitcoins ของพวกเขาไว้อยู่ และพวกเขาเชื่ออีกว่าสกุลเงินดิจิทัลนี้ยังสามารถเติบโตไปได้อีกมาก

สรุป

เทรดเดอร์ที่เก่งๆ นั้นล้วนมีแนวทางความคิดที่เหมือนๆ กัน พวกเขาจะยิ่งลงทุนในตลาดเมื่อสินทรัพย์ต่างๆ ของพวกเขาดูจะมีความเสี่ยงอยู่มาก นอกจากนี้พวกเขายังไม่เน้นการเล่นเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น แต่พวกเขาจะลงทุนโดยการถือสินทรัพย์ในระยะกลางและระยะยาวเลย

ทั้งหมดนี้คือพฤติกรรม 2 ประเภทที่ควรนำมาใช้หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในตลาด โดย Jesse Livermore ก็เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ในตำนานที่เคยกล่าวว่าคุณจะไม่สามารถทำเงินได้จากการเทรดได้ แต่คุณจะสามารถสร้างเงินได้หากคุณสามารถถือสินทรัพย์เหล่านั้นไปให้ได้ยาวนาน