การเทรด Forex เป็นอีกรูปแบบการลงทุนหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงทั่วโลก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุมีสภาพคล่องสูง เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถเทรดออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ในแต่ละวันมีมูลค่าการเทรด Forex โดยเฉลี่ยสูงถึง $6.6 ล้านล้าน (~฿212 ล้านล้าน) และยังคงดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเอยู่เสมอ
สำหรับนักลงทุนที่จะต้องการเริ่มต้นเทรด Forex บทความนี้เราจะมาเจาะลึกข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการเทรด Forex ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้น เช่น การเทรด Forex คืออะไร ไปจนถึงรู้จักกับกราฟ Forex เป็นต้น และอีกส่วนคือวิธีการเทรด Forex โดยแบ่งเป็นขั้นตอนต่างๆ เราไปดูกันเลย
การเทรด Forex คืออะไร?
การเทรด Forex (Foreign Exchange หรือ FX) คือ การเก็งกำไรในตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่าง 2 สกุลเงิน เรียกว่า “คู่สกุลเงิน” โดยไม่สามารถเลือกซื้อสกุลเงินใดสกุลหนึ่งได้ ซึ่งแต่ละคู่สกุลเงินจะประกอบด้วย “สกุลเงินตั้งต้น (Base currency)” หมายถึงสกุลเงินลำดับแรกในคู่ Forex และ “สกุลเงินอ้างอิง”(Quote currency)” เป็นสกุลเงินอันดับสอง
ส่วนราคาของคู่สกุลเงินจะแสดงจำนวนเงินของสกุลเงินอ้างอิงที่ต้องใช้เพื่อซื้อสกุลเงินตั้งต้นหนึ่งหน่วย
ตัวอย่าง หากคุณต้องการเทรดสกุล EUR (ยูโร) กับ USD (ดอลลาร์สหรัฐ) ให้คุณเลือกเทรดคู่ “EUR/USD” นั่นคือ EUR เป็นสกุลเงินตั้งต้น และ USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง ถ้าราคาคู่สกุลเงิน EUR/USD เท่ากับ 1.2 หมายความว่าสกุล EUR นั้นมีมูลค่า $1.2 (~฿39)
คู่สกุลเงินที่นิยมเทรด
แม้ว่าจะมีสกุลเงินมากมายบนโลก แต่มีไม่กี่สกุลเงินเท่านั้นที่นิยมซื้อขายกัน ซึ่งได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), ดอลลาร์แคนาดา (CAD), เยน ญี่ปุ่น (JPY), ปอนด์ อังกฤษ (GBP), ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD), ฟรังก์สวิส (CHF) และหยวน จีน (CNY)
คู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมในตลาด Forex จะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพในประเทศ นอกจากนี้ยังมีค่าสเปรดที่แคบกว่าคู่เงินอื่นๆ ด้วย สำหรับคู่สกุลเงินที่ถูกซื้อขายมากที่สุดมีดังนี้
คู่สกุลเงินที่นิยมเทรด | คู่สกุลเงินที่นิยมเทรด |
---|---|
USD/CAD | EUR/JPY |
EUR/USD | EUR/CHF |
USD/CHF | EUR/GBP |
GBP/USD | AUD/CAD |
NZD/USD | GBP/CHF |
AUD/USD | GBP/JPY |
USD/JPY | CHF/JPY |
EUR/CAD | AUD/JPY |
EUR/AUD | AUD/NZD |
ส่วนคู่สกุลเงินอื่นๆ จะถูกซื้อขายน้อยกว่าและมีสภาพคล่องต่ำ ค่าสเปรดค่อนข้างกว้าง และราคามีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาสกุลเงิน
ราคาของสกุลเงินนั้นขึ้นกับหลายปัจจัย ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกสกุลเงินที่จะซื้อขายของเทรดเดอร์ด้วย สำหรับบทความนี้เราได้สรุปออกมาเป็น 5 ปัจจัยหลักต่อไปนี้
1. สภาวะเศรษฐกิจ
สถานะทางการเงินของประเทศส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงินอย่างมาก และราคามักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยข้อมูลเชิงลึกต่างๆ เหล่านี้จะแสดงถึงสุขภาพการเงินของแต่ละประเทศ และถูกนำมาใช้ในการเปรียบเทียบระหว่างประเทศหนึ่งกับประเทศอื่นๆ
2. ข่าวการเมืองและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ
เหตุการณ์การเมืองต่างๆ เช่น การเลือกตั้ง ล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศ รวมไปถึงมูลค่าของสกุลเงินด้วย ดังนั้นนักเทรด Forex จึงต้องติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องเพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในระดับประเทศ
3. ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หมายถึง มูลค่าของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตในประเทศ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง หรือสามารถกล่าวได้ว่า GDP สามารถใช้ประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศได้ นี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องตรวจสอบก่อนซื้อขายคู่สกุลเงินใดๆ
4. อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดที่มีผลต่อตลาด Forex การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยสามารถกำหนดผลลัพธ์ของการซื้อขายได้ สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะมีโอกาสถูกซื้อขายในตลาดมากขึ้น
5. ราคาสินค้า
ราคาของสินค้าส่งผลกระทบต่อราคาของบางสกุลเงินในลักษณะที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นสามารถส่งผลเสียต่อสกุลเงิน USD และ JPY ได้ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลดีต่อประเทศที่ผลิตน้ำมันได้ด้วยตนเอง
ตลาด Forex
ตลาด Forex คือตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสกุลเงินแทบจะทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงเงินบาทไทย (BTH) นอกจากนี้ยังทำงานผ่านระบบออนไลน์และเชื่อมต่อกันทั่วโลก โดยจะเปิดทำการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง (ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ) เวลาเปิด-ปิดของตลาดสกุลเงินใหญ่ๆ ตามเวลาในประเทศไทยมีดังนี้
- ตลาดออสเตรเลีย เวลาเปิด 05.00 น. เวลาปิด 13.00 น.
- ตลาดญี่ปุ่น เวลาเปิด 06.00 น. เวลาปิด 14.00 น.
- ตลาดยุโรป เวลาเปิด 14.00 น. เวลาปิด 23.00 น.
- ตลาดลอนดอน เวลาเปิด 15.00 น. เวลาปิด 23.00 น.
- ตลาดอเมริกา เวลาเปิด 19.00 น. เวลาปิด 03.00 น
ทำความเข้าใจกับกราฟ Forex
การเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จทักษะหนึ่งที่สำคัญคือการอ่านกราฟ Forex เพราะจะช่วยให้เทรดเดอร์เห็นมุมมองของตลาดได้ชัดเจน สามารถจับสัญญาณเทรดและจับตาความเคลื่อนไหวต่างๆ ในตลาดได้ ซึ่งกราฟ Forex แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ กราฟแท่งเทียน กราฟแท่ง และกราฟเส้น
กราฟแท่งเทียน
กราฟแท่งเทียน หรืออีกชื่อคือกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น เป็นกราฟที่แสดงช่วงข้อมูลหลากหลาย ทั้งราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด ราคาเปิดและราคาปิด ช่วยให้เทรดเดอร์สังเกตความเคลื่อนไหวของราคาได้ชัดเจน กราฟแท่งเทียนจึงเป็นนิยมใช้กันมากที่สุดสำหรับเทรดเดอร์
กราฟแท่งเทียนประกอบด้วยกล่องเรียกว่า “ตัวเทียน (Body)” ซึ่งจะอยู่ระหว่างราคาเปิดและราคาปิด และ “ไส้เทียน (Shadow)” เป็นเส้นบางๆ ด้านบนและด้านล่างตัวเทียน แสดงช่วงของราคาสูงสุดถึงต่ำสุด
กราฟแท่ง
กราฟแท่งแสดงลำดับราคาในช่วงเวลาต่างๆ มีข้อมูลทั้งราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดของคู่สกุลเงิน ดังนั้นกราฟแท่งมักจะถูกนำมาใช้เพื่อระบุการย่อตัวและการขยายตัวของช่วงราคา
ด้านบนของแท่งคือราคาสูงสุด ส่วนด้านล่างคือราคาต่ำสุดในช่วงระยะเวลานั้นๆ ขีดเล็กๆ ด้านซ้ายจะบอกราคาเปิด และขีดด้านขวาจะบอกราคาปิด
กราฟเส้น
กราฟเส้นจะลากเชื่อมต่อกันระหว่างราคาปิดจากราคาหนึ่งไปอีกราคาหนึ่งในช่วงระยะเวลาที่กำหนด กราฟประเภทนี้เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเทรด Forex นอกจากนี้ยังช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจับทิศทางของเทรนด์ได้ด้วย
หลังจากที่เรารู้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการเทรด Forex แล้ว ส่วนต่อไปเราจะมาลงลึกกันว่าถ้าอยากเริ่มต้นเทรด Forex ควรจะทำยังไงบ้าง?
เทรด Forex ยังไง?
ในส่วนนี้เราจะแบ่งวิธีการเทรด Forex ออกเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่ ตั้งเป้าหมายการเทรด, เลือกคู่สกุลเงินที่จะเทรด, เลือกโบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุดและแพลตฟอร์มการเทรด, เทรด Forex ด้วย Leverage และ Margin และสุดท้ายคือเปิดสถานะซื้อ-ขายและติดตามสถานะ เรามาดูรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนกันเลย
1. ตั้งเป้าหมายการเทรด
การเทรด Forex ที่ประสบความสำเร็จนั้นเริ่มต้นจากวิธีคิดที่ถูกต้อง และการตั้งเป้าหมายหลายๆ ด้านนอกเหนือจากกำหนดกำไรเพียงอย่างเดียว คุณสามารถเริ่มต้นตั้งเป้าหมายการเทรดโดยใช้ “SWOT Analysis” ซึ่งเป็นเครื่องมื้อหนึ่งที่ใช้ในการวิเคราะห์ตัวคุณทั้งภายนอกและภายใน SWOT Analysis ประกอบด้วย
- Strengths (จุดแข็ง)
- Weakness (จุดอ่อน)
- Opportunities (โอกาส)
- Threats (อุปสรรค)
นอกจากนี้การค้นคว้าและวิเคราะห์การเทรดยังเป็นอีกพื้นฐานหนึ่งที่สำคัญ รวมไปถึงทำบันทึกการเทรด เช่น กลยุทธ์ที่ใช้, กำไร-ขาดทุน, ปัญหาที่เจอในการเทรด เป็นต้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะช่วยสร้างวินัยที่ดีให้กับเทรดเดอร์
2. เลือกคู่สกุลเงินที่จะเทรด
การเทรด Forex คือการแลกเปลี่ยนมูลค่าระหว่างสองสกุลเงิน หรือสามารถกล่าวได้ว่า คุณต้องซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน เทรดเดอร์ควรเลือกคู่สกุลเงินโดยพิจารณาจากหลายปัจจัยจากข้อมูลข้างต้น เช่น สภาวะเศรษฐกิจ การเมือง อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ราคาสินค้า เป็นต้น สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่คุณสามารถเริ่มต้นเทรดคู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมสูงก่อน
นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์อื่นๆ ได้แก่ เวลาในการเทรด เพราะแต่ละคู่สกุลเงินมีปริมาณการเทรดแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เช่น USD/JPY, AUD/USD และ NZD/USD จะมีปริมาณการเทรดสูงในช่วงเช้าของเอเชีย อีกเกณฑ์หนึ่งคือค่าสเปรดและค่าธรรมเนียมอื่นๆ เนื่องจากแต่ละสกุลเงินมีค่าสเปรดที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อกำไรในการเทรดด้วย
3. เลือกโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการเทรด
โบรกเกอร์จะทำหน้าที่ตั้งแต่ส่งคําสั่งซื้อขายหลักทรัพย์เข้าสู่ตลาด รับผิดชอบขั้นตอนการดำเนินงานต่าง ๆ อย่างการเปิดบัญชี ดูแลให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหาให้ลูกค้า ไปจนถึงการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ คำถามคือ ควรเทรด Forex โบรกไหนดี? เราได้สรุปหลักการเลือก 6 ข้อดังนี้
1. ความน่าเชื่อถือ ศึกษาประวัติความเป็นมา ชื่อเสียงของทีมบริหาร ตรวจสอบใบอนุญาตดำเนินการ ดูว่าโบรกเกอร์นั้นได้รับการควบคุมดูแลโดยหน่วยงานอะไร รวมถึงรางวัลที่ได้รับ
2. ตลาดและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ศึกษารายละเอียดว่าโบรกเกอร์ให้บริการสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง
3. ฝ่ายบริการลูกค้าเป็นมืออาชีพ สามารถช่วยเหลือคุณได้เมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัย และมีจำนวนพนักงานเพียงพอต่อจำนวนลูกค้า
4. สนับสนุนแหล่งความรู้ ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีแหล่งการเรียนรู้สนับสนุน เช่น บทความ วิดีโอสอน คอร์สเรียน และสัมมนาต่าง ๆ สำหรับเทรดเดอร์ทั้งมือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ นอกจากนี้โบรกเกอร์ควรมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์การเทรดของคุณด้วย
5. ค่าธรรมเนียมการเทรด ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเทรดและไม่เกี่ยวกับการเทรดมีผลกับกำไร-ขาดทุนของคุณ ดังนั้นโบรกเกอร์ควรชี้แจงค่าธรรมเนียมอย่างละเอียด
6. ให้บริการแพลตฟอร์มการเทรดที่ดี เนื่องจากแพลตฟอร์มการเทรดเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเทรด จัดการบัญชี รวมถึงใช้งานด้านอื่น ๆ อย่างการติดตามข่าวสาร และบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ โดยทั่วไปโบรกเกอร์จะให้บริการเทรดดิ้งแพลตฟอร์มกับเทรดเดอร์ ดังนั้นคุณควรศึกษารายละเอียดของแพลตฟอร์มที่แต่ละโบรกเกอร์ให้บริการว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน ตอบโจทย์การเทรดของคุณหรือไม่
4. การเทรด Forex ด้วย Leverage และ Margin
Leverage และ Margin คือเครื่องมือในการเทรดที่ช่วยให้คุณสามารถเทรดได้ด้วยเงินทุนไม่มาก อย่างไรก็ตามคุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะใช้ เพราะมันสามารถเพิ่มปริมาณการขาดทุนได้ด้วยเช่นกัน
Leverage (เลเวอเรจ) เป็นการเพิ่มปริมาณการเทรดด้วยเงินเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย ทำให้คุณสามารถเทรดในสถานะที่มากกว่าปกติได้ และช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนด้วย
ตัวอย่าง หากบัญชีเทรดของคุณมีเลเวอเรจเท่ากับ 500:1 หมายความว่าคุณจะสามารถซื้อขายได้สูงสุด 500 เท่าของจำนวนเงินในบัญชีของคุณ
ส่วน Margin (มาร์จิ้น) คือ จำนวนเงินที่คุณต้องมีในบัญชีเทรดเพื่อใช้ในการเปิดสถานะ (หรืออาจเรียกว่าเป็น “เงินมัดจำ” นั่นเอง) ซึ่งในการเทรด Forex จะขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และอัตราส่วน Leverage ที่เทรดเดอร์เลือก
ตัวอย่าง หากบัญชีเทรดของคุณมีเลเวอเรจเท่ากับ 500:1 คุณต้องการเปิดสถานะ 1 ล็อตคู่สกุลเงิน AUD/JPY ซึ่ง 1 ล็อตจะเท่ากับ 100,000 AUD และ Margin 200 AUD หมายความว่าคุณจะต้องมีเงินอย่างน้อย 200 AUD (หรือจำนวนที่เทียบเท่าในสกุลเงินอื่น) เพื่อใช้ในการเปิดสถานะนั่นเอง
5. เลือกสถานะซื้อขายคู่สกุลเงิน
หลังจากเลือกสกุลเงินที่จะเทรดแล้ว ขั้นตอนนี้คือการเลือกสถานะซื้อขายคู่สกุลเงิน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบดังนี้
BUY POSITION หรือ ซื้อคู่สกุลเงิน
หมายถึงสถานะที่สกุลเงินตั้งต้น “แข็งค่าขึ้น” เมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง (หรือกล่าวในอีกแง่คือ สกุลเงินอ้างอิงอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินตั้งต้น) โดยผลกำไรจะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสกุลเงิน และในทางตรงกันข้ามคุณจะขาดทุนหากราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิดของคุณ
ตัวอย่าง คู่สกุล EUR/USD มีมูลค่า 1.33820 คุณคาดการณ์ว่าสกุลเงินตั้งต้นจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง คุณจึงตัดสินใจเลือก “BUY POSITION” ที่ราคาซื้อ 1.33840 ต่อมามูลค่า EUR/USD เพิ่มขึ้นเป็น 1.34160 นั่นทำให้คุณได้กำไรจากการเทรด 32 pips
SELL POSITION หรือ ขายคู่สกุลเงิน
สกุลเงินตั้งต้น “อ่อนค่าลง” เมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง (หรือสกุลเงินอ้างอิงแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินตั้งต้น) โดยผลกำไรของคุณจะเพิ่มขึ้นหากมูลค่าแต่ละจุดตกลง และคุณจะขาดทุนหากราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดของคุณ
ตัวอย่าง คู่สกุล EUR/USD มีมูลค่า 1.33820 คุณคาดการณ์ว่าสกุลเงินตั้งต้นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง คุณจึงตัดสินใจเลือก “SELL POSITION” ที่ราคาขาย 1.33820 ต่อมามูลค่า EUR/USD เพิ่มขึ้นเป็น 1.34160 นั่นทำให้คุณขาดทุนจากการเทรด 34 pips
สรุป
การเทรด Forex คือ การเก็งกำไรในตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงิน ซึ่งเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีสภาพคล่องสูง มูลค่าของสกุลเงินนั้นขึ้นกับหลายปัจจัยด้วยกันไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจ การเมือง อัตราดอกเบี้ย หรืออัตราเงินเฟ้อ การเลือกคู่สกุลเงินที่จะเทรดจึงต้องพิจารณาจากหลายๆ ด้านนั่นเอง
นอกจากนี้การเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จยังต้องอาศัยการตั้งเป้าหมายที่ดี มีวิธีคิดที่ถูกต้องและมีความรู้เกี่ยวกับการเทรดด้วย เช่น การอ่านกราฟ Forex, หลักการเลือกโบรกเกอร์, วิธีการใช้ Leverage และ Margin ไปจนถึงการเลือกสถานะซื้อขาย
คำถามที่พบบ่อย
คุณสามารถเริ่มต้นเทรดได้โดยเปิดบัญชีเทรดกับโบรกเกอร์ (แนะนำให้เลือกบัญชีทดลองหากต้องการฝึกฝนการเทรดโดยไม่มีความเสี่ยง) ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคู่สกุลเงินที่คุณต้องการเทรด แล้วเลือกสถานะซื้อหรือขาย จากนั้นติดตามและปิดสถานะตามกลยุทธ์การเทรดของคุณ
Forex ไม่ได้ถูกครอบครองโดยใครเพราะ Forex คือตลาดการเงินระหว่างธนาคาร การทำธุรกรรมจะดำเนินการระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ตราบใดที่ระบบธนาคารยังคงมีอยู่ Forex ก็จะยังคงมีเช่นกัน และไม่เกี่ยวข้องกับประเทศหรือหน่วยงานของรัฐใด ๆ โดยเฉพาะ
สำหรับเวลาเปิด-ปิดของตลาดสกุลเงินใหญ่ๆ ตามเวลาในประเทศไทยมีดังนี้
⦿ ตลาดออสเตรเลีย เวลาเปิด 05.00 น. เวลาปิด 13.00 น.
⦿ ตลาดญี่ปุ่น เวลาเปิด 06.00 น. เวลาปิด 14.00 น.
⦿ ตลาดยุโรป เวลาเปิด 14.00 น. เวลาปิด 23.00 น.
⦿ ตลาดลอนดอน เวลาเปิด 15.00 น. เวลาปิด 23.00 น.
⦿ ตลาดอเมริกา เวลาเปิด 19.00 น. เวลาปิด 03.00 น
Margin (มาร์จิ้น) คือ จำนวนเงินที่คุณต้องมีในบัญชีเทรดเพื่อใช้ในการเปิดสถานะ ซึ่งขึ้นกับแต่ละโบรกเกอร์และ Leverage ที่คุณเลือก